การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ที่เสนอโดยพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย ระหว่างวันที่ 14 – 15 ตุลาคม 2568 โดยในวาระแรกได้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ประชุมมีมติรับหลักการทั้งสิ้น 2 ฉบับ คือฉบับของพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย พร้อมได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา จำนวน 43 คน จากนั้นที่ประชุมได้มีมติให้ใช้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. พรรคประชาชน กับคณะเป็นร่างหลักในการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการด้วยคะแนนเสียง 300 เสียง ขณะที่ร่างฯ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สส.พรรคภูมิใจไทย กับคณะ ได้คะแนน 287 เสียง
ทั้งนี้ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงระหว่างการประชุมรัฐสภาในวาระการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับไทม์ไลน์การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยรับจะนำข้อคิดเห็นในการอภิปรายของสมาชิกไปพิจารณาต่อไป พร้อมชี้แจงการแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าเป็นอำนาจของรัฐสภา แต่การทำประชามติ กฎหมายกำหนดชัดให้ประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญต่อนายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. กำหนดวันทำประชามติ และกำหนดคำถามประชามติ ด้วยเหตุนี้ จึงขอเสนอกำหนดระยะเวลาที่เกิดจาก 3 ส่วน คือ
1. รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2560
2. พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564
3. MOA โดยมี 2 กรณีคือ กรณีที่ 1 เป็นกรณีที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับปัจจุบันยังใช้บังคับอยู่ คือร่างพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) ที่สภาได้พิจารณาและรัฐบาลนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายนั้นยังไม่ลงมา กรณีที่ 2 เป็นกรณีที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568
สำหรับกรณีที่ 1 นั้น นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภาว่าใน MOA ที่รัฐบาลทำกับพรรคประชาชนว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือน ซึ่งเริ่มนับวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นวันหลังจากคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งจะครบ 4 เดือน ในวันที่ 31 มกราคม 2569 แปลว่าจะมีการยุบสภาในวันนั้น และตามรัฐธรรมนูญการเลือกตั้งที่เกิดจากการยุบสภาเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ที่จัดขึ้นต้องไม่ก่อน 45 วัน และไม่หลัง 60 วัน เมื่อพิจารณาแล้ว วันที่เหมาะสมที่สุดในการกำหนดวันเลือกตั้งคือ วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2569 เนื่องจากมีเรื่องการจัดทำประชามติเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 256 กล่าวว่า ถ้าเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 อนุมาตรา 8
ซึ่งรวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องจัดทำประชามติ เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ฉบับปัจจุบันได้กำหนดว่า ให้ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบและให้นายกรัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีการออกเสียงตามวันที่กำหนดตามที่ได้หารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งต้องไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา
แต่เมื่อรัฐบาลต้องการประหยัดงบประมาณ เพราะหากจัดทำประชามติแยกแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณครั้งละ 6,000 ล้านบาท จึงสมควรที่จะนำมาทำประชามติในวันเลือกตั้ง เมื่อนับย้อนถอยหลังมาปรากฏว่า 90 วันนั้นคือ วันที่ 30 ธันวาคม 2568 เป็นวันสุดท้ายที่นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประกาศให้ทำประชามติได้ ซึ่งหมายความว่าต้องนับย้อนหลังไปอีกว่ารัฐสภาแห่งนี้จะลงมติในวาระ 3 ให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในวาระ 3 ซึ่งไม่ควรเกิน วันที่ 15 – 20 ธันวาคม 2568 มีเวลาทิ้งไว้ 10 วัน เพราะต้องให้เวลาประธานรัฐสภาส่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม และสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมโดยสรุปในลักษณะที่ประชาชนสามารถเข้าใจเนื้อหา สาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้โดยสะดวก นอกจากนั้น ต้องให้เวลานายกรัฐมนตรีหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดวัน ซึ่งควรจะเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งคือวันที่ 29 มีนาคม 2569 หากเป็นเช่นนี้จะต้องขอให้รัฐสภาลงมติในวาระ 3 ไม่เกินวันที่
15 – 20 ธันวาคม 2568
ส่วนกรณีที่ 2 คือ กรณีที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) ที่สภาแห่งนี้ผ่านร่างไปแล้วและรัฐบาล นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแล้ว กรณีนี้จะทำให้สภามีเวลามากขึ้นในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ หากการยุบสภาทำในวันที่ 31 มกราคม 2569 เลือกตั้งในวันที่ 29 มีนาคม 2569 เหมือนเดิม การทำประชามติทำในวันนั้นตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ที่สภาแห่งนี้เห็นชอบแล้ว ก็จะลดเวลาจาก 90 วัน เหลือ 60 วัน ซึ่งวันสุดท้ายจะเป็นวันที่ 29 มกราคม 2569 ที่ประธานรัฐสภาแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ แต่จริง ๆ แล้ววันที่ 29 มกราคม 2569 เป็นวันที่ นายกรัฐมนตรีหารือร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องประกาศให้ทำประชามติแล้ว ฉะนั้น หากเป็นเช่นนี้ รัฐสภาควรลงมติในวาระ 3 ให้ความเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ในช่วงวันที่ 15 – 19 มกราคม 2569 อย่างไรก็ตามการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเรื่องของสมาชิกฯ รัฐบาลไม่อาจเข้ามาก้าวล่วงได้ แต่คงต้องมีการประสานงานกันระหว่างรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาในหลายเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ
นายบวรศักดิ์ ได้อธิบายถึงไทม์ไลน์การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา แต่ถ้ามีการยื่นยุบสภาก่อน รัฐธรรมนูญถึงจะชะงัก แต่ถ้าอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการแล้ว มีเหตุเปลี่ยนรัฐบาล สภาก็ดำเนินเรื่องไป แต่ถ้ายุบสภารัฐบาลใหม่ที่มาหลังจากการเลือกตั้ง สามารถขอให้สภาหยิบขึ้นมาพิจารณาได้ภายใน 60 วัน รัฐบาลมีหน้าที่เดียวคือ เมื่อร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญผ่านรัฐสภาแล้ว รัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ บังคับให้รัฐบาลต้องขอประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่ โดยคำถามแรก เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และคำถามที่สอง เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับรูปแบบ ขั้นตอน กระบวนการ และหลักการพื้นฐานที่ปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญที่ส่งมานี้หรือไม่
ส่วนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติฉบับใหม่ที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปแล้ว ซึ่งจะครบ 90 วัน ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 จะมีการโปรดเกล้าฯ เมื่อใด เป็นพระราชอำนาจ หากใช้ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 ไทม์ไลน์จะเร็วขึ้น แต่ถ้าใช้ฉบับใหม่ และโปรดเกล้าฯ ลงมาก่อนวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ไทม์ไลน์จะเปลี่ยน สภาจะมีเวลามากขึ้นอีก 1 เดือน
ขณะที่การพิจารณาข้อดี ข้อเสีย ของการยกเลิก MOU 2543-2544 ระหว่างไทยกับกัมพูชา
นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา MOU 2543-2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมาธิการฯ ว่าจะได้ข้อสรุปของ MOU 2543 และจะนำเข้าสู่การพิจารณา MOU 2544 ซึ่งเป็นการสรุปเรื่องข้อดี ข้อเสีย และข้อระวัง โดยจะมีรายละเอียดข้อดีและข้อเสียในการยกเลิกหรือไม่ยกเลิก
ส่วนข้อถกเถียงเรื่องการยกเลิก MOU 2543 หรือไม่นั้น ในที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุป หากไม่ยกเลิกควรทำแบบไหน และการถกเถียงเป็นไปอย่างดุเดือดทุกครั้ง แต่ยืนยันว่าเจตนาดี อย่างไรก็ตามหากมีการยกเลิก MOU 2543 จะส่งผลกระทบต่อการเจรจา รวมถึงส่งผลต่อการพูดคุยเรื่องหลักเขตแดนที่ปักปันไปแล้วด้วยหรือไม่นั้น ตามข้อตกลงหากปักปันแล้วเสร็จก็ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง หากสภาฯ ไม่เห็นชอบ จะถือว่ามีการเซ็น MOU ร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา แต่ไม่มีเขตแดน
นอกจากความคืบหน้าของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวของทางคณะรัฐมนตรีด้วย โดยวันที่ 17 ตุลาคม 2568 จะมีการประชุมหารือกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นำโดยนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง