“เอกนิติ” ลงพื้นที่ติดตาม “คนละครึ่ง พลัส” ร้านค้า–ประชาชนตอบรับดี 21 ต.ค. นี้ อนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและนนทบุรี เพื่อติดตามเรื่องสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย พร้อมติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่จะช่วยลดภาระค่าครองชีพ ด้วยหลักการ “รัฐช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง ประชาชนจ่ายครึ่งหนึ่ง” ซึ่งจะช่วยเหลือประชาชน ผู้ประกอบการรายย่อยและร้านค้าชุมชนให้มียอดขายเพิ่มขึ้น เงินหมุนเวียนอยู่ในชุมชนสร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชนโดยตรง ทั้งร้านอาหารในตลาด พ่อค้าแม่ค้า รวมถึงวินมอเตอร์ไซค์ที่มีใบขับขี่สาธารณะ สามารถลงทะเบียนได้เช่นกัน โดยใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” สำหรับรับชำระเงินจากผู้ซื้อที่ใช้แอปฯ “เป๋าตัง” โดยโครงการจะเปิดให้ใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 จะช่วยให้เศรษฐกิจคึกคักขึ้น 

ขณะนี้มีร้านค้าลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 200,000 ราย จึงอยากเชิญชวนผู้ประกอบการทั้งรายเก่า รายใหม่ รวมถึงร้านค้าที่อยู่ในแอปพลิเคชัน Food Delivery สามารถเข้าร่วมโครงการได้ที่แอปฯ ถุงเงิน และจุดบริการภาครัฐในพื้นที่ นอกจากนี้ได้จัดวางระบบร้านค้าให้ยืนยันตัวตนเพื่อความปลอดภัย ป้องกันการแอบอ้างหรือการถูกสวมสิทธิ์ แม้อาจใช้เวลาบ้างแต่เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของทุกฝ่าย จึงขอเชิญชวนร้านค้าที่พร้อมเข้าร่วมลงทะเบียนได้ถึงวันที่ 19 ธันวาคมนี้

นายเอกนิติ กล่าวว่า คนละครึ่ง พลัส ต้องการ พลัส ในหลายเรื่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ได้ผลในระยะยาว โดยภาครัฐจะจัดหลักสูตรอบรมให้พ่อค้าแม่ค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่ในตลาดหรือชุมชน เพิ่มทักษะการขายออนไลน์ และหลักสูตรทำต้นทุนคละรายจ่ายจับมือกับแพลตฟอร์มต่างๆ ลดค่าธรรมเนียมเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้กว้างขึ้น โดยมอบหมายให้จังหวัดเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ร้านค้า และผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการเป็นการเพิ่มรายได้ และเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าสามารถใช้สิทธิ์จ่ายผ่าน “คนละครึ่ง พลัส” ที่ร้านได้ สำหรับข้อกังวลของร้านค้าเกี่ยวกับภาษีและข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ขอยืนยันว่าข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้และร้านค้าจะได้รับการคุ้มครองอย่างปลอดภัยสูงสุด ธนาคารกรุงไทยในฐานะหน่วยดำเนินการจะไม่เปิดเผยข้อมูลให้หน่วยงานใดๆ ขอให้ร้านค้ามั่นใจได้ อย่างไรก็ตามหากรายได้ของร้านค้าเพิ่มขึ้นจนเกินเกณฑ์ภาษีก็ถือเป็นหน้าที่ของคนไทยที่จะร่วมเสียภาษีอย่างถูกต้อง เพราะงบประมาณที่นำมาใช้ในโครงการนี้ก็มาจากภาษีของประชาชนเช่นกัน เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการดีๆ แบบนี้ต่อไปได้ในอนาคต

กรณีที่มีร้านค้าร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนว่า มีการนำเอกสารสมัครเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส ไปให้หน่วยงานปกครองลงนามรับรอง แต่กลับถูกเรียกเก็บเงินเป็นค่าลงนามนั้น กระทรวงการคลังจะประสานและกำชับไปยังกระทรวงมหาดไทยโดยเร็ว พร้อมทั้งรายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบด้วย โดยยืนยันว่า หากพบเจ้าหน้าที่รายใดใช้โอกาสนี้แสวงหาผลประโยชน์จากประชาชน จะดำเนินการทางวินัยและกฎหมายอย่างเด็ดขาด เนื่องจากโครงการคนละครึ่งพลัส มีวัตถุประสงค์สำคัญในการบรรเทาภาระค่าครองชีพ และสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย หากประชาชนพบเห็นหรือประสบเหตุลักษณะดังกล่าวสามารถแจ้งข้อมูลมายังกระทรวงการคลังได้โดยตรง ซึ่งจะมีการตรวจสอบและแก้ไขโดยเร็วที่สุด

นส่วนการลงทะเบียนของประชาชนทั่วไปจะเริ่มวันที่ 20 – 26 ตุลาคมนี้ รัฐบาลเตรียมสิทธิ์ให้ประชาชนกว่า 20 ล้านรายไม่รวมผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐประมาณ 13.4 ล้านคน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับประโยชน์และทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัว จากการลงพื้นที่พบปะเยี่ยมเยียนผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ และประชาชนในบริเวณตลาด มีเสียงตอบรับจากประชาชนต่อโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เป็นไปในทางที่ดี หลายคนอยากให้มีระยะที่สอง ซึ่งจะนำเรื่องนี้เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป

นายเอกนิติ เปิดเผยด้วยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 21 ตุลาคมนี้ รัฐบาลเตรียมมาตรการ “เที่ยวเมืองรอง” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่าง จ.ปทุมธานี นนทบุรี และปริมณฑล โดยจะมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ที่เข้าพักโรงแรมสามารถนำค่าที่พักมาหักลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า เช่น พัก 10,000 บาท หักภาษีได้ 15,000 บาท ทั้งนี้รัฐบาลจะเสนอให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ จัดสัมมนาและอบรมในจังหวัดเมืองรอง ตั้งเป้าเบิกจ่ายให้ได้อย่างน้อย 60% ภายใน 4 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ เพื่อสร้างความคึกคักทางเศรษฐกิจ สำหรับผู้ประกอบการที่มีบ้านพักหรือโรงแรม รัฐบาลจะร่วมกับธนาคารออมสิน เปิดสินเชื่อเพื่อพัฒนาและปรับปรุงที่พักให้ทันสมัย เช่น ติดตั้งเครื่องปรับอากาศหรือปรับปรุงระบบบริการ โดยค่าใช้จ่ายบางส่วนสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ เพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวของจังหวัด

ขณะที่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมขับเคลื่อนโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางโดยเร่งผลักดันให้ทุกระบบขนส่งสาธารณะเข้าร่วม เพื่อให้ประชาชน “เดินทางจ่ายครึ่งเดียว” สร้างรายได้ให้ผู้ขับรถสาธารณะทั่วประเทศ และยกระดับระบบขนส่งสู่ดิจิทัล โปร่งใส ตรวจสอบได้ 

นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ได้เปิดให้ผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะเข้าร่วมโครงการลงทะเบียนได้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2568 คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้เข้าร่วม ดังนี้

1. รถจักรยานยนต์สาธารณะ ต้องมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะและบัตรประจำตัวผู้ขับรถ

2. รถตุ๊กตุ๊ก ต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ

 3. รถแท็กซี่ ต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (ประเภท ท.1–ท.4) และบัตรประจำตัวผู้ขับรถ

 4. รถสองแถวและรถตู้โดยสาร ต้องมีใบอนุญาตขับรถประเภท ท.1–ท.4

 5. รถโดยสารประจำทาง ต้องมีใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทาง

 6. รถโดยสารประจำทางหรือไม่ประจำทางที่เป็นนิติบุคคลรายเล็ก ต้องมีใบอนุญาตประกอบการขนส่งสาธารณะ และมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี (ภ.ง.ด.50 รอบบัญชีปี 2567)

ทั้งนี้ มอบหมายสำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศเร่งประชาสัมพันธ์และให้คำแนะนำผู้ประกอบการ สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1–5 และสำนักงานขนส่งจังหวัด
ทั่วประเทศ หรือโทรสายด่วน 1584

ขณะเดียวกัน บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางของประชาชน สามารถใช้สิทธิ์ชำระค่าตั๋วรถ บขส. ทุกเส้นทางทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 โดยมีเงื่อนไข ได้แก่

1) ยื่นบัตรแสดงตนในการซื้อตั๋วโดยสาร และต้องเป็นผู้เดินทางเองเท่านั้น

2) ซื้อตั๋วรถโดยสาร บขส. ภายในวงเงิน 200 บาทต่อวัน กรณีที่ค่าโดยสารเกินวงเงินที่ได้รับต้องจ่ายส่วนต่างเป็นเงินสดเท่านั้น

3) เดินทางไปกับรถโดยสาร บขส. ได้ทุกมาตรฐาน ทุกเส้นทาง

4) ใช้ร่วมกับสิทธิ์ลดหย่อนอื่นๆ ได้ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด

5) เมื่อซื้อตั๋วโดยสารแล้วไม่สามารถคืนตั๋วได้ทุกกรณี แต่สามารถเลื่อนการเดินทางได้ภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด

6) ซื้อตั๋วโดยสารได้ที่ช่องจำหน่ายตั๋วของ บขส. ทั่วประเทศ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและจองตั๋วล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์ บขส. Application E-ticket Facebook Page: บขส. Line: บขส.99 และช่องจำหน่ายตั๋วโดยสาร บขส. ทั่วประเทศ หรือ โทร. 0 2936 3660

สำหรับการลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีและนนทบุรี นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้บูรณาการการทำงานเพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนเป็นอย่างดี แต่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต่อไป โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 21 ตุลาคมนี้ รัฐบาลเตรียมนำเรื่องการจัดสรรงบประมาณเพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เข้าสู่การพิจารณาเพื่อออกเป็นมติคณะรัฐมนตรีและดำเนินการช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง