นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 2/2568 โดยมีคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ อาทิ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม
นายอนุทิน กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจครั้งที่แล้ว (15 ต.ค. 68) ซึ่งที่ประชุมได้รับทราบแผนงาน โครงการด้านเศรษฐกิจ ภายใต้ “นโยบาย Quick Big Win” ในส่วนของกระทรวงการคลังที่นายเอกนิติ ได้นำเสนอ และในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 จะมีการนำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการประชุมครั้งที่แล้ว สำหรับการประชุมครั้งนี้เป็นการพิจารณาแผนงานภายใต้ นโยบาย “Quick Big Win” ของกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะนำไปสู่การลดค่าครองชีพให้กับประชาชน การสร้างรายได้ให้ชุมชน และยังเป็นการเตรียมความพร้อมด้านพลังงานให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่จะมาลงทุนในประเทศไทย สอดรับกับที่นายเอกนิติ ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI (The Board of Investment of Thailand) เร่งรัดให้บริษัทต่างประเทศที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน มาตั้งโรงงาน ซึ่งจะต้องมีพลังงานไฟฟ้าอย่างเพียงพอ จึงได้ให้เชิญผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ ผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เข้ามาร่วมรับฟังด้วย เพื่อจะได้รับนโยบายไปช่วยกันขับเคลื่อนในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ทันที
สำหรับที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 1/2568 และรายงานความก้าวหน้านโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล เช่น โครงการคนครึ่ง พลัส ที่ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมากทั้งฝั่งร้านค้าและผู้ซื้อ โดยข้อมูลจากกระทรวงการคลัง ณ วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 ร้านค้าที่ลงทะเบียนสำเร็จแล้ว 223,088 ร้าน และร้านค้าที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการสมัคร 87,976 ร้าน และผู้ซื้อลงทะเบียนครบตามจำนวนสิทธิ์ 20 ล้านรายแล้ว รวมถึงการรับทราบความก้าวหน้าในการใช้ Dashboard ติดตามโครงการตามนโยบาย Quick Big Win (Dashboard : เครื่องมือที่ใช้แสดงข้อมูลสำคัญด้วยภาพ เช่น กราฟ, ตาราง, แผนภูมิ เพื่อใช้วิเคราะห์ และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว)
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณามาตรการด้านพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนมาตรการภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล โดยกระทรวงพลังงานเสนอมาตรการด้านพลังงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโนบาย “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ผ่านโครงการ Quick Big Win ด้านพลังงาน 3 มาตรการ 9 แผนงาน/โครงการ อาทิ โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน โซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร การส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านที่อยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี และโครงการโซลาร์ลอยน้ำ ในเขื่อน (FPV) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นต้น โดยที่ประชุมเห็นชอบในหลักการมาตรการด้านพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนมาตรการด้านพลังงาน ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล และให้ดำเนินเป็นไปตามขั้นตอนและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป
พร้อมย้ำให้ดำเนินโครงการที่สามารถดำเนินการได้ก่อนและเป็นประโยชน์กับประชาชน เช่น โครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน โครงการโซลาร์สูบน้ำเพื่อการเกษตร การส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านที่อยู่อาศัยด้วยมาตรการทางภาษี ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเหลือประชาชนได้จริงโดยเฉพาะการลดรายจ่าย สร้างรายได้ รวมไปถึงมาตรการคาร์บอนเครดิต ในการส่งเสริมการลดโลกร้อนตามนโยบายรัฐบาลและสามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนในชุมชนต่างๆ ได้อีกด้วย
นายกรัฐมนตรีขอให้ทุกกระทรวงพิจารณาถึงโครงการหรือกิจกรรมที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ที่ไม่ใช่งาน Routine หรืองานที่ต้องทำเป็นประจำ และดำเนินการได้ภายในเวลา 3 เดือนที่เหลือ และส่งให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อรวบรวมอยู่ใน Dashboard และนำมารายงานความคืบหน้าต่อคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจในการประชุมทุกครั้ง ทั้งนี้ ข้อมูลโครงการที่ส่งมาเข้า Dashboard ขอให้มีการทำ cost-benefit analysis (การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์) และให้ระบุถึงต้นทุน งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพื่อสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะเกิดจากการดำเนินโครงการให้ชัดเจน พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำว่า ทุกโครงการและกิจกรรมที่รัฐบาลจะดำเนินการจะต้องมีความโปร่งใส ยึดหลักวินัยการเงินการคลัง ยึดผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นหลัก อันจะนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือของประเทศไทยต่อนักลงทุน และ Rating Agency (สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ) รวมทั้งให้กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการตามแผนงานที่นำเสนอ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับกฎหมายระเบียบ และ มติ ครม.ที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ขอให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการคลัง สนับสนุนและให้ความร่วมมือกับกระทรวงพลังงานอย่างเต็มที่ด้วย
โดยในการประชุมครั้งต่อไป คาดว่าจะเป็นการคุยกันเรื่องมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ การค้า การส่งออกรวมถึงการดูแลค่าครองชีพประชาชน
สำหรับโครงการคนละครึ่ง พลัส ที่ขณะนี้ประชาชนลงทะเบียนครบตามจำนวน 20 ล้านสิทธิ์แล้วนั้น
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมความพร้อมเพื่อขยายโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ซึ่งได้รับการยืนยันจากนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว โดยมีกำหนดจะเริ่มในเดือนมกราคม 2569 หลังสิ้นสุดเฟส 1 วันที่ 31 ธันวาคม 2568
ส่วนข้อกังวลของประชาชนที่ลงทะเบียนแล้วได้รับข้อความให้รอผลการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือ SMS ภายใน 3 วัน นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ยืนยันว่า ประชาชนที่ได้รับข้อความการตรวจสอบจะไม่เสียสิทธิ์ เพราะผู้ที่ลงทะเบียนถือว่าอยู่ในคิวแล้ว ซึ่งหลังจากตรวจสอบข้อมูลกับกรมการปกครองแล้วหากมีข้อมูลตรงกันจะมีการแจ้งยืนยันกลับไป และเริ่มใช้จ่ายวันที่ 29 ตุลาคม -31 ธันวาคม 2568 และต้องใช้สิทธิ์วันแรกไม่เกินวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568
ทางด้านนายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง พลัส วันแรก พบว่ามีประชาชนลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ครบภายในวงเงินงบประมาณ 44,000 ล้านบาท เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. โดยกระทรวงการคลังจะนำข้อมูลของผู้ลงทะเบียนไปตรวจสอบคุณสมบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า วงเงินงบประมาณหรือจำนวนสิทธิ์คงเหลือ กระทรวงการคลังจะนำวงเงินสิทธิ์คงเหลือมาเปิดให้ลงทะเบียนใหม่ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ตรวจสอบสิทธิ์คงเหลือจากหน้าแรกของเว็บไซต์ www. คนละครึ่งพลัส .com และเข้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ใหม่ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ระหว่างเวลา 06.00 – 22.00 น.
ขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าช่วยลดค่าครองชีพประชาชน จัดมหกรรม “รวมพลังห้างท้องถิ่น ลดยิ่งใหญ่ ไทยช่วยไทย” (LOCAL Low COST) ระหว่างวันที่ 1–15 พฤศจิกายน 2568 รวมผู้ประกอบการห้างค้าส่ง-ค้าปลีกท้องถิ่นกว่า 90 ราย 800 สาขาทั่วประเทศ ลดราคาสินค้าจำเป็นสูงสุดกว่า 60% พร้อมเปิดให้ใช้สิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” ได้ในงาน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าราคาประหยัดอย่างทั่วถึง ควบคู่การพัฒนา “สมาร์ท โชห่วย” เสริมแกร่ง SMEs และยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ได้ประชุม กบน. โดยพิจารณาสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งจากข้อมูลล่าสุด ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับลดลงมาอยู่ที่ 61.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1 บาร์เรล เท่ากับประมาณ 159 ลิตร เฉพาะในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม) ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล ลดลงมาอยู่ที่ 82.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันเบนซินอยู่ที่ 77.59 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปัจจัยสำคัญมาจากการลดความเสี่ยงจากการโจมตีโครงข่ายโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียโดยยูเครน การผ่อนคลายแรงกดดันทางการทูตต่อประเทศที่ต้องการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
นอกจากนี้สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) คาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันโลกอาจล้นตลาดหลังกลุ่ม OPEC (กลุ่มความร่วมมือระหว่างสมาชิกองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน) และกลุ่ม ผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม OPEC เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่อง และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้ อุปสงค์การใช้พลังงานทั่วโลกลดลง และเพื่อเป็นการดูแลภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ที่ประชุม กบน. จึงมีมติปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 50 สตางค์ต่อลิตร จาก 31.44 บาทต่อลิตร เป็น 30.94 บาทต่อลิตร และลดน้ำมันเบนซินลง 30 สตางค์ต่อลิตร ให้มีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2568
นายอรรถพล กล่าวว่า การปรับลดราคาน้ำมันในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามนโยบาย Quick Big Win ที่ให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง มุ่งสร้างผลลัพธ์เชิงรูปธรรมอย่างชัดเจน และรวดเร็ว เพื่อดูแลค่าครองชีพให้แก่ประชาชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เดินหน้าอย่างมั่นคง เนื่องจากพลังงานเป็นเรื่องใกล้ตัว ที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งการลดราคาดีเซลดังกล่าว นับเป็นการปรับลดต่อเนื่อง จากการประชุม กบน. เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ที่ได้ลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล และเบนซิน ทุกชนิด ลง 50 สตางค์ต่อลิตร มีผลวันที่ 4 ตุลาคม 2568
สำหรับแนวทางการส่งเสริมการค้ากับสหรัฐอเมริกา นางไฮดี้ แกลแลนท์ (Ms. Heidi Gallant) กรรมการบริหารหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (The American Chamber of Commerce in Thailand: AMCHAM) และนางสาวอรกัญญา พิบูลธรรม รองประธาน AMCHAM นำผู้บริหารและบริษัทสมาชิก เข้าพบหารือนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับคำแนะนำและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจของบริษัทสหรัฐฯ ในประเทศไทย รวมถึงแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจของไทย
โดยนายกอนุทิน ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลงทุนจากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยรัฐบาลมุ่งดำเนินงานอย่างเต็มที่เพื่อให้การลงทุนของภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ผ่านการเสริมสร้างความโปร่งใส ปรับปรุงขั้นตอนการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ (Ease of Doing Business) และการลดอุปสรรคเชิงโครงสร้างต่างๆ พร้อมเปิดรับข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เชื่อมั่นว่า การหารือในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกันระหว่างไทยและสหรัฐฯ ในอนาคตต่อไป
การหารือครั้งนี้ ผู้แทนบริษัทเอกชนของสหรัฐฯ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในไทย โดยตัวแทนในด้านการลงทุน กล่าวย้ำความมุ่งมั่นต่อการดำเนินธุรกิจในไทย และสนับสนุนผู้ประกอบการไทย พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่อง Data center ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI และระบบคลาวด์ที่จำเป็น ต้องอาศัยการผลิตฮาร์ดดิสก์และเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลที่มีเสถียรภาพสูง ซึ่งไทยมีศักยภาพและความโดดเด่นในด้านนี้ โดยพร้อมเดินหน้าร่วมมือกับรัฐบาลและ BOI เพื่อผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญของโลก
ด้านการเงิน ตัวแทนบริษัทด้านการเงินของสหรัฐฯ กล่าวสนับสนุนไทยในการยกระดับศักยภาพทาง การเงินและการลงทุนสู่เวทีโลก โดยไทยมีพื้นฐานการตลาดทางการเงินที่แข็งแรง ทั้งตลาดหุ้นและตลาดธนบัตร พร้อมเสนอให้ไทยเร่งสร้างการรับรู้ในเวทีโลก และปรับปรุงอันดับในดัชนีการลงทุนสากล รวมถึงการผ่อนคลายกฎระเบียบและข้อจำกัด เพื่อดึงดูดเงินทุนต่างประเทศ
ด้านเทคโนโลยี บริษัทได้เปิดตัว Data Center Region แห่งใหม่ในประเทศไทย เมื่อต้นปี 2025 ซึ่งจะช่วยสร้างงานทักษะสูงกว่าหมื่นตำแหน่ง และเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย พร้อมเสนอความร่วมมือ 3 ด้านหลัก ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ยุทธศาสตร์ปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ และการเจรจานโยบายดิจิทัลระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก
ด้านพลังงาน บริษัทให้ความสำคัญและพร้อมสนับสนุนบุคลากรไทยที่มีความสามารถอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และเห็นว่าไทยสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้อย่างมั่นคงผ่านการเสริมสร้างความต้องการใช้พลังงานภายในประเทศ การส่งเสริมการปฏิรูปด้านพลังงาน และการพัฒนาแหล่งพลังงานสะอาด เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมพลังงานอย่างยั่งยืน
ด้านสาธารณสุข ภาคเอกชนสหรัฐฯ พร้อมสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการดูแลสุขภาพของภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในด้านนวัตกรรมยาและเทคโนโลยีทางการแพทย์
ด้านอาหาร ผู้แทนอุตสาหกรรมอาหารสหรัฐฯ กล่าวถึงการสร้างงานให้กับคนไทยอย่างต่อเนื่อง และมีความเชื่อมั่นในศักยภาพด้านอาหารและพืชผลเกษตรของประเทศไทย พร้อมสนับสนุนการพัฒนาซัพพลายเชนร่วมกับภาครัฐและ AMCHAM เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและมาตรฐานความยั่งยืน โดยเฉพาะการลดความซับซ้อนของกฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการลงทุนในประเทศ นอกจากนี้ บริษัทมุ่งแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีการผลิตอาหารและเกษตรสมัยใหม่ เพื่อช่วยเสริมสร้างความยั่งยืน และยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยสู่ระดับโลก
โอกาสนี้ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การรับฟังข้อคิดเห็นและอุปสรรคจากภาคเอกชนสหรัฐฯ ครั้งนี้ ช่วยให้รัฐบาลเข้าใจสภาพแวดล้อมทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น และสามารถปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยี ความยั่งยืน และความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ทั้งนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานกระตุ้นเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ “เศรษฐกิจมูลค่าสูง (High-Value Economy)” ผ่านการยกระดับมาตรฐานกฎหมาย พร้อมเดินหน้าสร้างเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อรองรับการลงทุนในระยะยาวอย่างมั่นคงและยั่งยืน