นายกฯ เร่งปราบสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ ปิดระบบ-ตัดสัญญาณได้ทันที ไม่ต้องรอมติ สมช. สั่งทุกหน่วยบูรณาการความร่วมมือ สร้างความเชื่อมั่นให้ประเทศ

จากการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 ซึ่งรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะภัยด้านสังคม โดยจะเร่งปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง ดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ ภัยไซเบอร์ การสร้างข่าวปลอมและการหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซนเตอร์และเครือข่ายสแกมเมอร์ที่สร้างความเสียหาย
ต่อประชาชน นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องนี้ ยืนยันว่าจะไม่เพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของประชาชน และจะดำเนินการอย่างจริงจังในการจัดการอาชญากรรมออนไลน์อย่างเด็ดขาด

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 341/2568 เรื่องแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ โดยการบูรณาการทำงานกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยฯลฯ มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดนโยบาย มาตรการ และแนวทางปฏิบัติในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กำกับดูแลและบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินงานตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ติดตาม ประเมินผลการปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อรายงานนายกรัฐมนตรี หรือ ครม. ให้ทราบอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 19 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ถึงการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีว่า สแกมเมอร์เป็นวาระแห่งภูมิภาคและเป็นวาระของโลกด้วย ประเทศไทยต้องเป็นส่วนหนึ่งและให้ความร่วมมือในการปราบปรามสแกมเมอร์ทุกวิถีทาง ทุกรูปแบบ ขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการปราบปรามสแกมเมอร์เชิงรุก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ว่ามีการจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้อง 37 ราย และยังมีการขยายผลต่างๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ รัฐบาลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเลในการตัดไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ตตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา หากตรวจสอบพบว่ามีการใช้โครงสร้างพื้นฐานของไทยเพื่อกิจกรรมผิดกฎหมาย

วันที่ 20 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ รองเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. และผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เข้าร่วม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แถลงผลการประชุมว่า ขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์เป็นปัญหาอาชญากรรมระดับโลก รัฐบาลยกเป็นวาระแห่งชาติ โดยนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 21 ตุลาคม 2568 เพื่อให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันในการแก้ไขปัญหา ซึ่งที่ผ่านมาได้รับทราบว่าแต่ละหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ มีบันทึกการจับกุม ยึดทรัพย์ ดำเนินคดีผู้ที่กระทำผิด มูลค่าเงินระดับหมื่นล้าน แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ เพราะต่างคนต่างทำงาน เพื่อให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนได้สั่งการให้ดำเนินการให้เข้มข้นขึ้น

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยืนยันว่า สัญญาณที่ส่งไปประเทศเพื่อนบ้านได้ปิดสัญญาทั้งหมดแล้ว ส่วนไปรับสัญญาณที่ไหนมาเป็นอีกประเด็นที่ต้องขอความร่วมมือกับประเทศต้นทาง ต้องแจ้งเพราะเป็น 1 ใน 4 เงื่อนไขในการเจรจาที่จะต้องดำเนินการตาม โดยย้ำเงื่อนไขสำคัญที่จะต้องทำคือการปราบปรามสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรม ในการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ได้มีการหารือถึงการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมการดำเนินการป้องกันและปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งจะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไม่เกิน 5 ชุด เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกัน โดยเจ้าภาพหลัก คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะมีการจัดตั้งเป็นคณะอนุกรรมการ ซึ่งแต่ละชุดจะร่วมกันดำเนินการในเรื่องนี้ โดยอธิบดีกรมการปกครองจะไปพิจารณารวบรวมรายชื่อมา เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมา โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้ลงนามด้วยตนเอง

เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยืนยันว่า ขณะนี้สามารถตัดระบบหรือปิดสัญญาณที่เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ต้องขอมติจาก สมช. อีก เนื่องจากมีมติเดิมครอบคลุมอยู่แล้ว หน่วยงานเจ้าสังกัดสามารถดำเนินการได้ทันที ทั้งการหยุดให้บริการหรือระงับการสนับสนุนในส่วนที่อาจเอื้อให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายได้ทันที ซึ่งตรงนี้ถือเป็นยาแรง

ส่วนกรณีที่มีกระแสกล่าวอ้างว่ามีนักการเมืองไทยเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าขณะนี้ยังไม่มีการส่งรายชื่อมาอย่างเป็นทางการ และผู้ที่ถูกพาดพิงได้ออกมาปฏิเสธแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และหากมีข้อมูล หลักฐาน หรือเส้นทางการเงินที่ต้องติดตาม ก็จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบอยู่แล้ว หากพบว่าบุคคลใดกระทำผิดอย่างชัดเจน และมีหลักฐานยืนยัน จะไม่ละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม โดยจะดำเนินการตามกฎหมายทันที ทั้งนี้ มีผู้กระทำผิดที่ถือสัญชาติไทย และถือสัญชาติอื่นด้วย ซึ่งได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมการปกครอง ดำเนินการตรวจสอบและดำเนินเรื่องนี้แล้ว

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์หรือสแกมเมอร์ ถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเข้มงวด เพราะหากต้องมีการเจรจาด้านการทูต การลงทุน หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องนี้จะทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ หรือถูกตั้งเงื่อนไขในหลายด้าน ดังนั้น จึงต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังและเด็ดขาด สำหรับการประชุมนี้นอกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ได้มีการเสนอเพิ่มอัยการสูงสุด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในชุดนี้ด้วย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการดำเนินการยกร่างคำสั่ง เพื่อให้นายกรัฐมนตรีลงนามแต่งตั้งต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง