ประชุม JBC ไทย-กัมพูชา หารือเร่งด่วนจัดระเบียบบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อแจ้งที่ประชุม GBC “อนุทิน” ย้ำต้องบรรลุข้อตกลง 4 ข้อ

นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา
ฝ่ายไทย
และนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา เป็นประธานร่วมในพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-22 ตุลาคม 2568 ที่จังหวัดจันทบุรี

นายประศาสน์ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารไทยที่ได้สละชีวิตในหน้าที่ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจและแสดงถึงความสำคัญที่ทั้งสองฝ่ายควรเร่งเจรจาแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ในขณะเดียวกันฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่มีเหตุผลอันชอบธรรมใด สำหรับการโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมาย การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือการยั่วยุในรูปแบบต่าง ๆ ดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ที่ประชุมฯ ได้หารือประเด็นเร่งด่วน ตามที่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ได้มอบหมายให้ JBC พิจารณา คือ กรณีประชาชนกัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย บริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว รวมถึงมาตรการรักษาความปลอดภัย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของ JBC เพื่อให้เกิดความชัดเจน สะท้อนความตั้งใจของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้แจ้งให้กัมพูชาทราบถึงแผนการสร้างรั้วแนวตรง เชื่อมหลักเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันแล้ว รวมถึงหารือการเร่งรัดแก้ไข TOR 2003 เพื่อนำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ ซึ่งการประชุมครั้งนี้ ไม่มีการหารือเรื่องการปักปันเขตแดนแต่อย่างใด ทั้งสองประเทศมุ่งหวังให้การประชุม JBC ได้ผลลัพธ์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียจากความขัดแย้งอีก

ทั้งนี้ผลการหารือในที่ประชุม JBC นั้นจะแจ้งกลับไปยังการประชุมฝ่ายเลขานุการ GBC ไทย-กัมพูชา
ซึ่งจัดประชุมระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2568 เพื่อจัดเตรียมข้อมูลสำหรับการประชุม GBC ไทย-กัมพูชา
สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 23 ตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่จะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา เป็นประธานร่วม

ส่วนการประชุมฝ่ายเลขานุการ GBC ไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทยได้เสนอกรอบการประชุม GBC สมัยพิเศษ
ครั้งที่ 2/2568 (2nd Special Session of the General Border Committee Meeting) จำนวน 4 ประเด็น ดังนี้

1. การถอนอาวุธหนัก

2. การเก็บกู้ทุ่นระเบิด

3. อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Scam)

4. การบริหารจัดการพื้นที่ ชายแดน (รอผลการเจรจา JBC)

ซึ่งทั้ง 4 ประเด็นนี้ เป็นการขับเคลื่อนการปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้ให้ความเห็นชอบในการประชุม GBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1 ณ จังหวัดเกาะกง กัมพูชา เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2568 ไว้แล้ว

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้รับรายงานความคืบหน้าการประชุม GBC ที่มาเลเซีย แล้ว แนวโน้มถือว่าคืบหน้าไปได้ด้วยดี ส่วนกรณีที่ พลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า จะลงนามในข้อตกลงสันติภาพ ระหว่างไทย-กัมพูชา ในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN Summit) ระหว่างวันที่ 26 – 28 ตุลาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซียนั้น ยืนยันว่าประเทศไทยมีประเด็นที่ได้แจ้งไปแล้วว่าต้องบรรลุใน 4 ข้อตกลงก่อน

ส่วนการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพิ่มเติม นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดน พ.ศ. … ตามที่กระทรวงแรงงาน เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ซึ่งร่างกฎกระทรวงนี้ได้มีการกำหนดเพิ่มเติมบทนิยาม คำว่าเหตุสุดวิสัยให้ครอบคลุมถึงภัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดน ซึ่งมีผลกระทบต่อสาธารณชน และถึงขนาดที่ผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานได้หรือนายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ เพื่อให้ผู้ประกันตนมีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดน โดยได้กำหนดให้ลูกจ้างในกรณีดังกล่าวมีสิทธิ์ได้รับประโยชน์ทดแทนเช่นเดียวกับเหตุสุดวิสัยที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน คือ ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้ทำงานหรือนายจ้างไม่ให้ทำงาน หรือที่นายจ้างต้องหยุดประกอบกิจการ แล้วแต่กรณี แต่รวมกันไม่เกิน 180 วัน และในการจ่ายประโยชน์ทดแทนให้จ่ายเป็นรายเดือน สำหรับเศษของเดือนให้คำนวณเป็นรายวันและให้หยุดจ่ายเมื่อผู้ประกันตนลาออก ถูกเลิกจ้าง หรือสิ้นสุดสัญญาจ้าง

นอกจากนี้ ได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกันสังคมประกาศกำหนดพื้นที่และระยะเวลาการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย และได้กำหนดให้ร่างกฎกระทรวงมีผลใช้บังคับย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้ การเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวกระทรวงแรงงานได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ด้วยแล้ว โดยมีการคาดการณ์ว่าจะมีจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ประมาณ 2,435 คน คิดเป็นเงินสิทธิประโยชน์ที่จะจ่ายให้ในกรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย อันเกิดจากการสู้รบบริเวณชายแดนมีจำนวนประมาณ 23.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่สูงเมื่อเทียบกับเงินกองทุนกรณีว่างงานที่มีเงินลงทุนสะสมรวมประมาณ 188,797 ล้านบาท ดังนั้น ในภาพรวมของการจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานในคราวนี้ จึงไม่มีผลทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายกับเงินกองทุนประกันสังคมกรณีว่างงานอย่างมีนัยสำคัญ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง