กรมการข้าวพยุงราคาข้าวปี 68/69 เร่งสหกรณ์รับซื้อผลผลิต ตั้งแต่ พ.ย. ตั้งเป้ารับข้าว 4 ล้านตัน รักษาราคาขั้นต่ำตันละ 12,000 บาท

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มอบนโยบายการขับเคลื่อนด้านการผลิตที่เป็นกลไกสำคัญใน 2 ส่วนหลัก ได้แก่
1. การยกระดับศักยภาพสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ และ 2. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรและบุคลากรภาคการเกษตร เพื่อดูแลเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้อยู่ดีมีสุข มีรายได้ที่มั่นคง และเสริมสร้างให้ภาคเกษตรไทยแข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้าสานต่อนโยบายเดิม 6 ด้านสำคัญและนโยบาย 3 สร้าง ได้แก่ สร้างรายได้ สร้างตลาด และสร้างโอกาส รวมถึงมาตรการเร่งด่วนในการช่วยเหลือเกษตรกร จากปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เช่น ยาง ข้าว และเร่งมาตรการลดต้นทุนเพิ่มรายได้ให้แก่ชาวนา โดยมอบหมายให้    กรมการข้าวเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปี 2568/69 ให้ครอบคลุมทั้งข้าวนาปีและนาปรังอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมจับมือสหกรณ์จังหวัดทั่วประเทศ และโรงสีที่มีศักยภาพนอกพื้นที่ เพิ่มจุดรวบรวมข้าว สร้างกลไกการแข่งขันเพื่อยกระดับราคาข้าวทั้งระบบ

นายนเรศ ธำรงทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนโครงการตามมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2567/68 พร้อมด้วย กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการข้าว กรมการค้าภายใน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สมาคมโรงสีข้าวไทย และประธานศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อร่วมกันพิจารณาแนวทางดำเนินงานตามมาตรการฯให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่ประชุมได้ผลักดันการขับเคลื่อนโครงการทั้ง 3 โครงการ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ “มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69“ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ได้แก่

          1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์
ซึ่งมีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรแสดงความประสงค์เข้าร่วมจำนวนแล้ว 133 แห่ง ในพื้นที่ 37 จังหวัด ใช้วงเงินสินเชื่อรวม 7,638.19 ล้านบาท เพื่อรองรับปริมาณข้าวเปลือกที่จะเข้าร่วมโครงการ 763,819 ตัน จะช่วยลดแรงกดดันจากผลผลิตที่ออกสู่ตลาดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว และรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในระดับที่เหมาะสม

          2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์ พบว่ามีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรประสงค์เข้าร่วม 170 แห่ง ใน 40 จังหวัด รวมวงเงินสินเชื่อ 13,766.90 ล้านบาท รองรับข้าวเปลือกกว่า 1.37 ล้านตัน โดยขณะนี้สหกรณ์มีความพร้อมในการรวบรวมข้าเปลือกตามมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก 428 แห่ง ใน 57 จังหวัด เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 30% รองรับการรับซื้อจากเกษตรกร เป้าหมาย 4 ล้านตันข้าวเปลือก ใช้วงเงินสินเชื่อรวมประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งสหกรณ์ทุกแห่งพร้อมรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป

สำหรับปัญหาและอุปสรรคที่ทางสหกรณ์เสนอวันนี้ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์สินเชื่อ ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เห็นชอบยกเว้นค่าธรรมเนียมวิเคราะห์สินเชื่อโครงการฯ ให้กับสหกรณ์ทั่วประเทศ
ถือเป็นการลดภาระต้นทุนและเพิ่มสภาพคล่อง ช่วยให้สหกรณ์กว่า 400 แห่งที่เข้าร่วมโครงการสามารถปล่อยสินเชื่อและรับซื้อข้าวจากเกษตรกรได้รวดเร็วขึ้น ถือเป็นอีกกลไกสำคัญที่จะทำให้การพยุงราคาข้าวในปีนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

          3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2568/69 ดำเนินการโดยกรมการค้าภายในและสมาคมโรงสี เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการค้าข้าวสามารถรับซื้อและเก็บสต๊อกข้าว 2–6 เดือน มีเป้าหมายปริมาณข้าวเปลือก 4 ล้านตัน โดยภาครัฐสนับสนุนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี วงเงินงบประมาณจ่ายขาด 642 ล้านบาท จะเริ่มรับซื้อตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2568 ถึง 31 มีนาคม 2569 และสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2570

สำหรับ “การระบายข้าวเปลือกตามโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2567/68”  ดำเนินการโดย ธ.ก.ส. เพื่อรักษาสภาพคล่องของสหกรณ์และเกษตรกร ซึ่งจะมีการนำเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในวันที่ 27 ตุลาคมนี้ เพื่อกำหนดราคาและแนวทางดำเนินการต่อไป

นายนเรศ กล่าวย้ำว่า “มาตรการทั้งหมดนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ สหกรณ์การเกษตร สมาคมโรงสี และ ธ.ก.ส. เพื่อพยุงราคาข้าวให้มั่นคงในช่วงผลผลิตออกมาก โดยปีนี้เริ่มดำเนินการเร็วขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 1 เดือน เพื่อให้เกษตรกรสามารถจำหน่ายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม และไม่ต่ำกว่าตันละ 12,000 บาท และช่วยลดแรงกดดันจากผลผลิตล้นตลาด”

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังเตรียมประสานกับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหาแนวทางระยะยาวในการบริหารจัดการข้าวอย่างยั่งยืน ทั้งด้านการพัฒนาโครงสร้างตลาด การส่งเสริมข้าวพรีเมียม และการสร้างนวัตกรรมการผลิต เพื่อให้ประเทศไทยยังคงความเป็นผู้นำด้านการผลิตข้าวของโลกอย่างมั่นคงต่อไป

ขณะเดียวกัน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เข้าร่วมประชุมเพื่อติดตามการดำเนินงานขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าว พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยงานประสานการทำงานร่วมกันให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

ด้านนายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า กรมการข้าวยังเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติหลังน้ำลด โดยมีแผนในการที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีฟื้นฟูดินและน้ำ รวมถึงการเตรียมสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวพันธุ์ดี และชีวภัณฑ์ย่อยสลายตอซังแก่พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายสิ้นเชิง เพื่อให้ชาวนาสามารถเริ่มเพาะปลูกใหม่ได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนกรมการข้าวได้รับมอบหมายให้เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการมาตรการรักษาเสถียรภาพราคา ปีการผลิต 2569/70 ร่วมกับ ธ.ก.ส. และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า เพื่อให้มาตรการพร้อมก่อนฤดูกาลผลิตจริง และครอบคลุมทั้งนาปีและนาปรัง เพื่อสร้างความมั่นใจและให้ชาวนารับทราบข้อมูลล่วงหน้าอย่างทั่วถึง ทั้งหมดนี้เป็นมาตรการเชิงรุกที่ กรมการข้าวเป็นแกนกลางในการประสานงานและขับเคลื่อนในการสร้างกลไกตลาดที่เป็นธรรมให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวต่อไป

นอกจากนี้ กรมการข้าว ยังได้ประชุมหารือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อวางแนวทางความร่วมมือแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำจากผลผลิตล้นตลาดในแต่ละปีที่ออกสู่ตลาดพร้อมกัน ซึ่งทำให้ภาครัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมากเพื่อเยียวยาชาวนา อีกทั้งยังเผชิญการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งที่พัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่อย่างต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องปรับทิศทางการผลิตจากปริมาณสู่คุณภาพ มุ่งผลิตข้าวพรีเมียม เป็นข้าวคาร์บอนต่ำ* หรือ “Decarbon Rice” ที่ตลาดโลกให้ความสำคัญและต้องการสูง เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตข้าวไทยอย่างยั่งยืน ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกข้าวประมาณ 60 – 70 ล้านไร่ โดยทั้งสองหน่วยงานเห็นพ้องในการส่งเสริมการผลิตข้าวคาร์บอนต่ำ โดยกรมการข้าวจะจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และเตรียมดำเนินโครงการนำร่องในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นลำดับแรก

*ข้าวคาร์บอนต่ำคือ ข้าวที่ผลิตและแปรรูปด้วยวิธีการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การทำนาเปียกสลับแห้ง การใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ที่ไม่ผ่านการเผา 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง