“ธรรมนัส” สั่งทุกหน่วยงานเร่งปราบปรามการค้ามนุษย์-สแกมเมอร์ อย่างจริงจัง ป้องกันไม่ให้ประชาชนถูกหลอกไปทำงานเป็นสแกมเมอร์

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1 ว่า ขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์เป็นปัญหาอาชญากรรมระดับโลก รัฐบาลยกเป็นวาระแห่งชาติ และนำเข้า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 เพื่อให้ทุกหน่วยงานบูรณาการร่วมกันในการแก้ไขปัญหา ซึ่งที่ผ่านมาได้รับทราบว่าแต่ละหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ มีบันทึกการจับกุม ยึดทรัพย์ ดำเนินคดีผู้ที่กระทำผิดมูลค่าเงินระดับหมื่นล้าน แต่ขาดการประชาสัมพันธ์ เพราะต่างคนต่างทำงาน ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่า ได้สั่งการให้มีการดำเนินการให้เข้มข้นขึ้น

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (คณะกรรมการ ปคม.)
ครั้งที่ 3/2568 โดยมี นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้พิจารณาวาระสำคัญ ประกอบด้วย

1. การจัดระดับประเทศไทยในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี 2568 (2025 Trafficking in Persons Report: 2025 TIP Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกานำไปสู่การปฏิบัติ และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงรายงานผลการดำเนินงานต่อไป

รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี 2568 (Trafficking In persons report 2025) โดยกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกาจัดระดับ (Tier) ประเทศในรายงานฯ ทั้งหมดจำนวน 188 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ

  • ประเทศที่อยู่ในระดับที่ 2 WL (Watch List) เช่น บรูไน
  • เคสพิเศษ มี 4 ประเทศ ได้แก่ เฮติ ลิเบีย โซมาเลีย และเยเมน

โดยให้ข้อสังเกตว่า

  • ประเทศไทยมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์เพิ่มขึ้น

แม้ประเทศไทยไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำอย่างครบถ้วนในการขจัดการค้ามนุษย์ แต่มีความพยายามอย่างมีนัยสำคัญในการดำเนินการดังกล่าว และรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่เพิ่มขึ้นโดยรวมเมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาการรายงานปีที่ผ่านมา ดังนี้

1. จำนวนการสืบสวน การดำเนินคดี และการตัดสินลงโทษคดีค้ามนุษย์ มีจำนวนเพิ่มขึ้น (ข้อมูลจากสำนักงานคดีค้ามนุษย์ วันที่ 19 ตุลาคม 2568 สถิติคดีค้ามนุษย์ในชั้นการพิจารณาของพนักงานอัยการ จำแนกประเภทความผิด รวมจำนวน 263 คดี)

2. ความร่วมมือกับรัฐบาลต่างประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้เสียหายชาวต่างชาติ
ที่หลบหนีจากการบังคับใช้แรงงาน และการบังคับให้ก่ออาชญากรรมในปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจัดทำคู่มือด้านกงสุลเพื่อสนับสนุนผู้เสียหายที่ได้รับการช่วยเหลือ

3. รัฐบาลได้เปิดและดำเนินการศูนย์ขนาดใหญ่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อใช้ในการระบุตัวผู้เสียหาย
จากการค้ามนุษย์และการส่งต่อเพื่อรับความช่วยเหลือ

4. รัฐบาลได้รวมแบบฟอร์มคัดกรอง 2 แบบเข้าด้วยกันเพื่อส่งเสริมความสอดคล้องในการระบุตัวผู้เสียหาย โดยเจ้าหน้าที่ด่านหน้าทุกหน่วยงาน และได้ปรับปรุงแนวทางให้ครอบคลุมถึงตัวชี้วัดการบังคับให้ก่ออาชญากรรมและแรงงานเด็กที่ถูกบังคับ โดยรับข้อเสนอแนะจากภาคประชาสังคม

  • ข้อเสนอแนะที่สำคัญ ต่อการดำเนินงานของประเทศไทย

1. ดำเนินการเชิงรุกในการสืบสวนและดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ และพิจารณาบทลงโทษต่อผู้กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ที่เหมาะสมและเพียงพอ ซึ่งควรรวมถึงโทษจำคุก ระยะยาว

2. ดำเนินการใช้กลไกการส่งต่อระดับชาติ (National Referral Mechanism: NRM) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อระบุตัวและคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่ถูกแสวงประโยชน์จากการใช้แรงงานบังคับและการบังคับให้กระทำความผิดทางอาญาในกรณีการหลอกลวงทางออนไลน์ (online scam) ในประเทศเพื่อนบ้าน

3. กำหนดให้มีการใช้แนวทางการยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง (Victim Centered) และการคำนึงถึงบาดแผล ทางจิตใจ (Trauma – Informed)

4. บังคับใช้การคุ้มครองแรงงานในอุตสาหกรรมประมงและภาคส่วนการค้าต่าง ๆ รวมถึงระบบการจ่ายค่าจ้าง ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และการกำหนดอายุขั้นต่ำในการทำงาน

5. เสริมสร้างความตระหนักรู้ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจข้อบ่งชี้ของการค้ามนุษย์ อาทิ การบังคับทำงาน ใช้หนี้ การทำงานเกินเวลามากเกินจำเป็น การยึดเอกสารของลูกจ้าง และการทำงานโดยไม่ได้รับผลตอบแทน

6. เพิ่มการใช้ล่ามและการเข้าถึงบริการล่ามแปลภาษาเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหายในสถานคุ้มครอง

7. ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ให้สามารถนำมาตรา 6/1 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปใช้ในการระบุตัวตนและคัดแยกผู้เสียหายจากการถูกบังคับใช้แรงงานหรือบริการอย่างมีประสิทธิภาพ

8. กำหนดให้สถานคุ้มครองฯ ของรัฐและสถานคุ้มครองที่ดำเนินการโดยองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ (NGOs) ดูแลผู้เสียหาย โดยคำนึงถึงบาดแผลทางจิตใจของผู้เสียหาย (Trauma – Informed) และให้การดูแลผู้เสียหายรายบุคคล (Individualized Care) อย่างเพียงพอ อาทิ การช่วยเหลือทางกฎหมายและการเยียวยาสภาพจิตใจ

9. กำหนดให้สืบสวนการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ ในกรณีละเมิดสิทธิแรงงานและข้อร้องเรียนของแรงงานต่างด้าวที่มีข้อบ่งชี้ว่าเข้าข่ายการถูกบังคับใช้แรงงาน

10. กำหนดและบังคับใช้นโยบายเพิ่มความสามารถให้กลุ่มผู้เสียหายโดยเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่ในการ
เดินทางเข้า – ออก สถานคุ้มครองโดยอิสระและสามารถเข้าถึงเครื่องมือสื่อสารได้อย่างสม่ำเสมอ

11. ให้ข้อมูลแก่สาธารณชน รวมถึงแรงงานข้ามชาติ คนไร้รัฐ ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์และศาสนา เกี่ยวกับการสรรหา การขนส่ง และการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ รวมถึง
ในปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์และอุตสาหกรรมประมง

2. มอบหมายทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนการดำเนินงานและนำแนวทางการขับเคลื่อน
การดำเนินงานตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ
(National Referral Mechanism: NRM) ฉบับปรับปรุง ไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานและมอบหมายให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนกลไกการส่งต่อระดับชาติ ดำเนินการจัดทำคู่มือการปฏิบัติงานต่อไป และให้รายงานคณะกรรมการ ปคม. ทราบด้วย

3. ให้กระทรวงการต่างประเทศศึกษากรณีประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศที่ได้รับการจัดระดับในกลุ่ม Tier 1 ในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี ค.ศ. 2025 (2025 Trafficking in Persons Report: 2025 TIP Report) ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการดำเนินการของประเทศไทย

4. ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ (Scammer) อย่างจริงจัง เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้ประชาชนคนไทยถูกหลอกไปทำงานเป็นสแกมเมอร์

ร้อยเอก ธรรมนัส กล่าวย้ำว่า ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบกำกับดูแล และติดตามการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ภายใต้กรอบระยะเวลาที่มีอยู่ โดยจะต้องทำทุกอย่างให้เป็นรูปธรรม ตามข้อสั่งการของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้แถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา ทั้งเรื่องการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และการแก้ไขปัญหาแก๊งสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาล ต้องเร่งแก้ไขปัญหาปราบปรามอย่างจริงจัง เนื่องจากพี่น้องประชาชนไม่ควรตกเป็นเครื่องมือหรือตกเป็นเหยื่อและไม่ควรนำประเด็นเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่

ด้านนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ร่วมหารือและขานรับนโยบายเร่งด่วนดังกล่าว โดยตระหนักว่าปัญหาแก๊งสแกมเมอร์และอาชญากรรมออนไลน์ ไม่เพียงสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อประชาชนชาวไทย แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งข่าวสารเกี่ยวกับการหลอกลวง อาชญากรรมออนไลน์ หรือการที่นักท่องเที่ยวตกเป็นเหยื่อ ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย (Safe Destination) การที่รัฐบาลยกระดับการปราบปรามอย่างจริงจัง จึงเป็นกุญแจสำคัญในการ “ทำความสะอาดบ้าน” เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย และเรียกคืนความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงการสื่อสารเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ โดยร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานการประชุม ได้เน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงลบจากการใช้วลี “จีนเทา” ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่เหมาะสม และส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยว ทำให้บรรยากาศซบเซา โดยเฉพาะการท่องเที่ยวจากประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลัก และกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ โดยสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาที่มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่น (Building Confidence) และส่งเสริมภาพลักษณ์เชิงบวก การสื่อสารที่คลาดเคลื่อนหรือการใช้คำที่สร้างความแตกแยก ส่งผลเสียร้ายแรงต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยว กระทรวงฯ จึงพร้อมสนับสนุนและร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการสื่อสารข้อเท็จจริง และหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะบั่นทอนความพยายาม ในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้บูรณาการการทำงานร่วมกับ ทุกหน่วยงานความมั่นคง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อแก้ปัญหาที่ต้นตอ การสร้างความปลอดภัยและภาพลักษณ์ที่ดี คือหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน การที่นักท่องเที่ยวจะตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย ปัจจัยด้านความปลอดภัยต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ มั่นใจได้ว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี ปลอดภัยและน่าประทับใจ เมื่อมาเยือนประเทศไทย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง