“สุชาติ” เปิดศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าภาคเหนือ เตรียมรับมือฝุ่น PM2.5 ปี 2569 เน้นย้ำบูรณาการทุกภาคส่วน ลดพื้นที่เผาไหม้ 24%

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประชุมติดตามการเตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาไฟป่าในพื้นที่อนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ ประจำปี 2569 ที่จังหวัดเชียงใหม่

นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับการลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ตามที่นายอนุทิน
ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568
เนื่องจากส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ทั้งนี้ ขอชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขัน ทำให้ปัญหาฝุ่นในพื้นที่ป่าที่มีการเผาไหม้ของปี 2568 ลดลงถึงร้อยละ 24 จากปี 2567 ในช่วงเวลาเดียวกัน จาก 11,560,007 ไร่ เหลือ 8,839,764 ไร่ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหายังคงมีความท้าทาย เนื่องจากต้องดูแลพื้นที่ป่ากว่า 120 ล้านไร่ ขณะที่จำนวนเจ้าหน้าที่ยังไม่เพียงพอ จึงพบการลักลอบเผาป่า รวมถึงไฟที่ลามเข้าไปในพื้นที่ป่าจากพื้นที่รอบนอกเป็นประจำทุกปี

จากการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมเห็นชอบ “มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2569” และกลไกการบริหารจัดการ เพื่อเป็นแนวทางในการรับมือกับช่วงที่มีปัญหาฝุ่นในปี 2569 ที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤศจิกายน นี้ และจะนำเสนอมาตรการดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป

ด้านกรมป่าไม้ ได้ดำเนินการถ่ายโอนภารกิจงานควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศแล้วจำนวน 2,674 แห่ง ตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นของตนเอง ในปีนี้กรมป่าไม้จะยกระดับความร่วมมือกับ อปท. ที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจให้มีการจัดทำข้อบัญญัติ เทศบัญญัติ และแผนการจัดการไฟป่า พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดทำงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนภารกิจ และสนับสนุนเครือข่ายความร่วมมือในท้องถิ่น นอกจากนี้ ยังเตรียมความพร้อมในการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปี 2569 เพื่อสนับสนุนการควบคุมไฟป่าให้แก่ อปท. ที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบปกติ และเพิ่มขีดความสามารถของกรมป่าไม้ในการสนับสนุนการดำเนินงานของท้องถิ่น ทั้งด้านการประสานงาน การเฝ้าระวัง และการตรวจหาไฟป่า ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ผ่านมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม ด้านการจัดการป่าเพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และแสวงหาภาคีเครือข่ายภาคธุรกิจเอกชน หน่วยงานเอกชน และประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนส่งเสริมให้กับเครือข่ายภาคประชาชนที่อยู่ใกล้ป่าให้มีศักยภาพในการปกป้องทรัพยากรป่าไม้และแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน ร่วมกัน

โดยได้มอบนโยบายและแนวทางรับมือสถานการณ์ตามที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ภายใต้ “มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2569” ซึ่งประกอบด้วยมาตรการสำคัญ 10 ข้อ เพื่อให้ทุกหน่วยงานนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยมีหัวใจหลักคือ ยุทธการ “ตรึงพื้นที่” และ “การบูรณาการการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวัด” ได้แก่

1. มุ่งเป้าป่าแปลงใหญ่ 14 กลุ่มป่า เพื่อบริหารจัดการแบบไร้รอยต่อ

2. จัดตั้งศูนย์สั่งการทุกระดับ เชื่อมโยงกับจังหวัดและทหาร

3. ยุทธการ “ตรึงพื้นที่” จัดชุดลาดตระเวนและเข้มงวดกับผู้กระทำผิด

4. เสริมศักยภาพเจ้าหน้าที่ ทั้งกำลังพล เครื่องมือ และเทคโนโลยี

5. ติดตามจุดความร้อนแบบ Real Time เพื่อเข้าถึงเร็ว ดับให้ไว

6. ลงพื้นที่แบบเคาะประตูบ้าน ยกระดับการสร้างการรับรู้

7. ควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตร โดยประสานกับจังหวัดภายใต้หลักเกณฑ์ของกรมควบคุมมลพิษ

8. สื่อสารแจ้งเตือนทันท่วงที

9. ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลาง

10. เร่งรัดการจัดสรรงบประมาณ

อีกทั้ง นายสุชาติ ยังได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ ณ ศูนย์ปฏิบัติการไฟป่าเชียงใหม่ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น War Room ที่สามารถบูรณาการข้อมูลและสั่งการได้แบบ Real Time รวมถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่ทันสมัย เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกันนี้ได้เป็นสักขีพยานการมอบอุปกรณ์ดับไฟป่าแก่เจ้าหน้าที่ชุดดับไฟป่า และได้มอบโอวาทและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ตรวจเยี่ยมกำลังพล ชมนิทรรศการ และฐานการสาธิตการฝึกของชุดดับไฟ พร้อมทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานแนวหน้า โดยเน้นย้ำ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ตรวจสอบอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานเสมอ และปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด 2. การทำงานเป็นทีมและการประสานงาน เนื่องด้วยปัญหาไฟป่าไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง จำเป็นต้องบูรณาการความร่วมมือระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชกรมป่าไม้ กองทัพ ท้องถิ่น และภาคประชาชน ให้เกิดพลังร่วมที่แข็งแกร่ง และ 3. สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ต้องทำงานร่วมกับประชาชน ผู้นำชุมชน และภาคเอกชน สร้างความเข้าใจ สร้างเครือข่ายเฝ้าระวัง และสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ร่วมกัน ขอยืนยันว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่ ทั้งงบประมาณ อุปกรณ์ เทคโนโลยี และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อปกป้องอนาคตของลูกหลานไทย ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ
ที่เป็นมรดกของชาติ และปกป้องคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน ประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามวิกฤตไฟป่าและหมอกควันไปได้อย่างยั่งยืน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง