นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศจากประเทศสมาชิกอาเซียน และติมอร์-เลสเต เข้าร่วม ก่อนเริ่มการประชุม นายโมฮัมหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อการสวรรคต สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ถือเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของไทย และรัฐมนตรีประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ ทั้งฟิลิปปินส์ เวียดนาม ลาว กัมพูชา บรูไน สิงคโปร์ เมียนมา อินโดนีเซีย และติมอร์-เลสเต ต่างกล่าวแสดงความเสียใจกับประเทศไทยด้วย โดยนายสีหศักดิ์ ได้กล่าวขอบคุณประเทศสมาชิกอาเซียน ที่แสดงไมตรีจิต แสดงความอาลัยต่อการสูญเสียครั้งนี้ของประเทศไทย
ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าประเด็นสําคัญต่างๆ และการเสริมสร้างประชาคมอาเซียนภายใต้แนวคิดหลัก “Inclusivity and Sustainability” ของการเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซียในปี 2568 และเตรียมการสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ในวันที่ 26 – 28 ตุลาคม 2568 รวมทั้งได้หารือเกี่ยวกับการสมัครเข้าเป็นอัครภาคีสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia: TAC) ของประเทศต่างๆ โดยย้ำหลักการของสนธิสัญญาฯ ที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือในภูมิภาค การรักษาความเป็นแกนกลางของภูมิภาค รับทราบพัฒนาการล่าสุดเกี่ยวกับความสัมพันธ์อาเซียนกับคู่เจรจา และการรับติมอร์-เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ
ที่ประชุมยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหารือเกี่ยวกับความคืบหน้าการดำเนินการตามฉันทมติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) กระบวนการสันติภาพในเมียนมา และการเลือกตั้งในเมียนมาในเดือนธันวาคม 2568 โดยไทยได้ย้ำความสำคัญของการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เรียกร้องให้มีการหารืออย่างครอบคลุมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อให้มีการเลือกตั้งที่เสรีและโปร่งใส และทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ที่ประชุมยังได้รับรองเอกสารข้อเสนอแนะเพื่อฟื้นฟูการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum: ARF) เพื่อคงประสิทธิภาพของเวที ARF ในการตอบสนองต่อความท้าทายด้านภูมิภาค
นอกจากนี้ในฐานะที่ไทยเป็นผู้เก็บรักษาสนธิสัญญาว่าด้วยเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty on the Southeast Asia Nuclear-Weapon-Free Zone: SEANWFZ) ได้รับมอบภาคยานุวัติสารต่อสนธิสัญญาฯ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศติมอร์-เลสเต ซึ่งส่งผลให้ติมอร์-เลสเตเข้าเป็นภาคีของสนธิสัญญาฯ อย่างสมบูรณ์ อันเป็นการตอกย้ำถึงเจตนารมณ์อาเซียนที่จะพิทักษ์ภูมิภาคให้ปราศจากอาวุธนิวเคลียร์
จากนั้นได้เข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Council: APSC Council) ครั้งที่ 30 ซึ่งที่ประชุมได้หารือติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานขององค์กรอาเซียนเฉพาะสาขา (ASEAN Sectoral Bodies) และการดำเนินการตามแผนงานประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (APSC Blueprint 2025) รวมทั้งรับทราบรายงานทบทวนผลการดำเนินงาน (End Term Review) เพื่อประเมินความก้าวหน้าและแนวทางขับเคลื่อนประชาคมการเมืองและความมั่นคงให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 (พ.ศ. 2588) โดยนายสีหศักดิ์ ได้ย้ำความพร้อมในการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ต่อการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ของประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (APSC : APSC Strategic Plan) เพื่อสอดรับกับวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนฯ และพร้อมแสดงบทบาทเชิงรุกในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการบริหารจัดการชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค
อีกทั้ง ได้เข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีประสานงานอาเซียน (ASEAN Coordinating Council) ครั้งที่ 37 โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศจากประเทศสมาชิกอาเซียนและติมอร์-เลสเต เข้าร่วม ที่ประชุมรับฟังความคืบหน้าในการเตรียมการรับติมอร์-เลสเตเป็นสมาชิกอาเซียน รับทราบรายงานจากกลไกอาเซียนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ รวมถึงหารือและติดตามความคืบหน้าในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการสร้างประชาคมอาเซียนและการดำเนินการตามประเด็นสำคัญและผลลัพธ์ (deliverables) ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซีย จากการประชุมนี้ไทยย้ำความสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ต่อวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 ในวงกว้างและยืนยันความพร้อมของไทยในการขับเคลื่อนการนำวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติอย่างบูรณาการ ทั้งยังแจ้งที่ประชุมเกี่ยวกับการจัดทำข้อริเริ่มความเกื้อกูลระหว่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 กับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (Complementarities Initiative 2.0) ฉบับใหม่ ซึ่งไทยจะเสนอให้ที่ประชุม ASEAN – UN Summit ครั้งที่ 15 เห็นชอบต่อไป
สำหรับกำหนดการเดิมที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะเดินทางเยือนประเทศมาเลเซียอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ก่อนร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 28 ตุลาคม 2568 ที่ ประเทศมาเลเซีย นายอนุทิน กล่าวว่า ได้ขอยกเลิก เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจสำคัญในประเทศ อย่างไรก็ตามได้เดินทางไปที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียช่วงเย็นวันที่ 25 ตุลาคม 2568 และวันที่ 26 ตุลาคม 2568 เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิธีมอบรางวัลอาเซียน (ASEAN Prize) และพิธีลงนามเอกสารรับติมอร์-เลสเต เข้าเป็นสมาชิกอาเซียนอย่างเป็นทางการ พร้อมย้ำบทบาทไทย ร่วมกับประเทศสมาชิกอาเซียน ในการผลักดันอาเซียนให้คงไว้ซึ่งความเป็นเอกภาพ ความมั่นคง และความร่วมมือที่ครอบคลุม เพื่อให้ภูมิภาคก้าวสู่ความสงบสุขและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดยมีกำหนดพบหารือ กับนายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อกระชับความร่วมมือในประเด็นเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาค ก่อนเข้าร่วมพิธีลงนาม “Joint Declaration between the Prime Minister of Kingdom of Thailand and the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia” ซึ่งเป็นถ้อยแถลงคำประกาศที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพ ระหว่างไทย-กัมพูชา โดยมีดาโต๊ะ ซรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามดังกล่าว ซึ่งจะมีการแถลงข่าวภายหลังพิธี และหลังเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรีและคณะจะออกเดินทางกลับประเทศไทยในวันเดียวกัน
ส่วนการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ที่สาธารณรัฐเกาหลีได้ขอเป็นมติ คณะรัฐมนตรีคลุมไว้ก่อน แต่ก็มีเรื่องที่จะหารือกับผู้นำหลายประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยจะพยายามบริหารเวลาให้ดีที่สุด ขณะนี้จะอยู่ประเทศไทยก่อน แต่เรื่องการต่างประเทศก็มีเรื่องสำคัญหลายเรื่อง ทั้งเรื่องภาษี การค้า และข้อตกลงที่จะใช้เวทีทั้งอาเซียน และ APEC เพื่อหารือ นอกจากนี้ กลุ่มอาเซียน และกลุ่ม APEC จะมีการเชิญผู้นำที่อยู่นอกกลุ่มมาด้วย และในส่วนของประเทศไทยช่วงนี้ได้รับการร้องขอในระดับผู้นำแบบทวิภาคีหลายราย ทั้งหมดล้วนก่อให้เกิดการพัฒนาความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง การค้า นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าจะพยายามบริหารเวลาให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปประชุมระดับนานาชาติ ซึ่งมีการประชุมติดกันทั้งอาเซียน และ APEC ทางรัฐบาลมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมปฏิบัติหน้าที่ และตนเองจะติดตามงานตลอดเวลา







