ภารกิจวันที่ 2 ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เริ่มด้วยการเข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 26 (26th ASEAN – Republic of Korea Summit) โดยนายอี แจ มย็อง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเกาหลีคนใหม่ได้พบกับผู้นำอาเซียน เป็นครั้งแรก ขณะที่ไทยทำหน้าที่เป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลี
นายอนุทิน เน้นถึงการประชุมครั้งนี้ว่า เป็นการทบทวนและกำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคตระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลี รวมถึงส่งเสริมการสถาปนาการเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership: CSP) เมื่อปี 2567 พร้อมแสดงวิสัยทัศน์ในนามอาเซียน เพื่อยืนยันความมุ่งมั่นของอาเซียนในการขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้านอาเซียน–สาธารณรัฐเกาหลี ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ชื่นชมบทบาทของสาธารณรัฐเกาหลีในกลไกความร่วมมือของอาเซียน และจะดำเนินการตามแผนการดำเนินงานอาเซียน – สาธารณรัฐเกาหลีฉบับใหม่ (พ.ศ. 2569-2573) แยกเป็น
ด้านความมั่นคง – แสดงความมุ่งมั่นต่อความร่วมมือทางการเมือง เพื่อรับมือกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ เช่น อาชญากรรมทางไซเบอร์ เสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านกิจการทางทะเลผ่านความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น เสนอความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสาธารณรัฐเกาหลีในการปราบปราม สแกมเมอร์อย่างจริงจัง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากผู้นำสมาชิกอาเซียนหลายชาติ
ด้านเศรษฐกิจ –ย้ำถึงการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ผ่านการยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–เกาหลี (ASEAN-Korea Trade Agreement – AKFTA) ในปี 2026 และการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน
ด้านดิจิทัลและนวัตกรรม –เร่งผลักดันความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีอัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยชื่นชม “โครงการ Korea–ASEAN Digital Innovation Flagship” ของรัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลี
ด้านสังคมและวัฒนธรรม –ผลักดันการส่งเสริมการศึกษา การท่องเที่ยว กีฬา การพัฒนาแรงงาน และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ระหว่างอาเซียนและสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคต
ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม – เน้นการส่งเสริมการทำงานร่วมกับศูนย์อาเซียนในสาขาอนามัย สิ่งแวดล้อม และพลังงานหมุนเวียน
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถ้อยแถลงในนามประเทศไทย โดยเสนอ 3 แนวทางความร่วมมือหลัก เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทย–อาเซียน–สาธารณรัฐเกาหลี ได้แก่
1. การพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจดิจิทัล สนับสนุนข้อริเริ่ม “AI Initiative” ของสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อการเติบโตอย่างครอบคลุม
2. การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ผ่านการเร่งรัดเจรจา “Thailand–ROK Economic Partnership Agreement (EPA)” และการปรับปรุงข้อตกลง AKFTA (ASEAN-Korea Free Trade Agreement) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของภูมิภาค
3. การสร้างอนาคตสีเขียวและยั่งยืน โดยไทยพร้อมร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในการดำเนินโครงการ “Clean Air for Sustainable ASEAN” และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม
รวมถึงย้ำจุดยืนของไทยในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค สนับสนุนการแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยการเจรจาและความร่วมมือ ไม่ใช่การเผชิญหน้า และแสดงความพร้อมของไทยและอาเซียนที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลชุดใหม่ของสาธารณรัฐเกาหลีในการดำเนินการตามแผนการดำเนินงานอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ฉบับใหม่ (พ.ศ. 2569-2573) เพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน
จากนั้นได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน + 3 (ASEAN Plus Three Summit: APT) ครั้งที่ 28 พร้อมผู้นำ และผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศคู่เจรจา + 3 ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ได้ย้ำถึงความสำคัญของกลไกอาเซียน + 3 ในการเป็นเวทีหลักที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมแก่ประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วิกฤตการณ์การเงินในปี 1997 จนถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ชี้ให้เห็นว่า โลกในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเปราะบางมากขึ้น อาเซียนและประเทศ + 3 จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความร่วมมือให้เข้มแข็งและเท่าทัน เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่อย่างครอบคลุมและทันการณ์
โดยได้เสนอแนวคิด “ความมั่นคง 3 ด้าน” เพื่อเป็นทิศทางในการขับเคลื่อนความร่วมมืออาเซียน + 3 ในอนาคต ได้แก่
1. ความมั่นคงทางการเงิน (Financial Security) ย้ำความสำคัญของการยกระดับข้อริเริ่มเชียงใหม่ (Chiang Mai Initiative Multilateralization : CMIM) ไปสู่การจัดตั้งกลไก “Rapid Financing Facility” เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินได้อย่างทันท่วงทีในยามเกิดวิกฤต พร้อมชื่นชมถ้อยแถลงว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค ซึ่งจะช่วยสร้างระบบรองรับความมั่นคงทางการเงิน (Financial Safety Net)” ที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น
2. ความมั่นคงทางดิจิทัล (Digital Security) การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลควรเกิดขึ้นอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในระดับชุมชนฐานรากและผู้ประกอบการ MSMEs (Micro, Small and Medium Enterprises ซึ่งหมายถึง ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย) เพื่อให้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการเติบโตอย่างครอบคลุม พร้อมสนับสนุนการจัดทำความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement: DEFA) ที่จะเป็นโอกาสใหม่ของการค้า การลงทุน และนวัตกรรมในภูมิภาค โดยยังเสนอให้อาเซียน + 3 เร่งความร่วมมือในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อีคอมเมิร์ซ และการพัฒนาแรงงานดิจิทัล พร้อมทั้งเข้มงวดในการป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ เพื่อสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัยและยั่งยืน
3. ความมั่นคงของมนุษย์ (Human Security) เน้นย้ำว่าความเป็นอยู่ของประชาชนคือหัวใจของความร่วมมืออาเซียน + 3 จึงเสนอให้อาเซียน และพันธมิตรที่สำคัญกับอาเซียนทั้ง 3 ประเทศ ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและจริงจังยิ่งขึ้นในการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของประชาชนโดยตรง นอกจากนี้ควรเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารผ่านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) และการพัฒนาองค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียน + 3 (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve- APTERR) ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของประเทศสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งขยายการให้ความช่วยเหลือไปยังสินค้าเกษตรประเภทอื่น
นอกจากนี้ได้เสนอให้ใช้ประโยชน์จากศูนย์อาเซียนในประเทศไทย เช่น ศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและมีนวัตกรรม (ASEAN Centre for Active Aging and Innovation- ACAI) และศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (ASEAN Centre for Sustainable Development Studies and Dialogue- ACSDSD) เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน การเงินสีเขียว
(การจัดสรรเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการและกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม) และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด พร้อมยืนยันว่า ไทยสนับสนุนความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างประเทศ + 3 เพื่อเสริมความเข้มแข็งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกอย่างแท้จริง
ที่ประชุมได้ร่วมรับรองแถลงการณ์ผู้นำอาเซียน + 3 ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินระดับภูมิภาค (ASEAN Plus Three Leaders’ Statement on Strengthening Regional Economic and Financial Cooperation) และภายหลังการประชุม นายอนุทิน ได้ให้สัมภาษณ์สื่อโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยยืนยันความร่วมมือในการร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งไทยได้เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมร่วมกับจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อประสานพลังของภูมิภาคในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้เป็นรูปธรรมและจริงจัง ซึ่งเป็นความร่วมมือกันในระดับนานาชาติ
จากนั้นได้พบหารือกับนายคาร์ลอส เฟลิเป้ ฮารามิโย รองประธานธนาคารโลก (World Bank) ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งธนาคารโลกให้การสนับสนุนไทยเป็นอย่างดี และไทยยืนยันความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (World Bank–IMF Annual Meetings) ประจำปี 2569 เชื่อมั่นว่าจะเป็นเวทีส่งเสริมบทบาทและศักยภาพเศรษฐกิจไทย
ด้านรองประธานธนาคารโลกฯ พร้อมสนับสนุนไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ประจำปี 2569 ที่กรุงเทพฯ เช่นกัน โดยคณะทำงานของธนาคารโลกพร้อมทำงานร่วมกับคณะทำงานฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การประชุมประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับฐานราก การลดภาระหนี้ครัวเรือน การเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs ตลอดจนการส่งเสริมการออม ซึ่งไทยต้องการเพิ่มพูนความร่วมมือกับธนาคารโลกให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสาขาการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล การสร้างงานและโอกาสทางอาชีพ และการพัฒนาทุนมนุษย์ สอดคล้องกับประเด็นทางเศรษฐกิจที่อาเซียนให้ความสำคัญ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมุ่งสู่อนาคต และขอให้รองประธานธนาคารโลกฯ เร่งรัดการพิจารณาอนุมัติโครงการก่อสร้างสะพานขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา และโครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ช่วยดึงดูดการท่องเที่ยว ลดระยะทางและต้นทุนในการเดินทาง เพิ่มศักยภาพโลจิสติกส์ ส่งเสริมความเชื่อมโยง และการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นพ้องร่วมกันผลักดันโครงการ Low Carbon City พัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้มีความยั่งยืนด้วย
โอกาสนี้ยังได้พบหารือทวิภาคีกับนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ พร้อมตอบรับคำเชิญของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในการเดินทางเยือนประเทศสิงคโปร์อย่างเป็นทางการในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–สิงคโปร์ รวมถึงแสดงความยินดีที่สิงคโปร์เป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งในไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 (พ.ศ. 2567–2568) พร้อมเชิญชวนให้ภาคเอกชนสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ดิจิทัลเพย์เมนท์ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เซมิคอนดักเตอร์ และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการบริการด้านสุขภาพ ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร โดยจะลงนาม MOU ระหว่างกันในเรื่องการค้าข้าวระหว่างการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการด้วย
ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายยังเห็นพ้องให้ขยายความร่วมมือในสาขาใหม่ๆ ที่มีศักยภาพร่วมกัน การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมทางไซเบอร์และการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ยินดีที่จะส่งผู้แทนสิงคโปร์เข้าร่วมการประชุมปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ที่นายกรัฐมนตรีมีดำริจะจัดขึ้นด้วย
นอกจากนี้ยังได้พบหารือทวิภาคีกับนายฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เพื่อติดตามความคืบหน้าความร่วมมือจากการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างกันเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ประทับใจต่อถ้อยแถลงของการลงนาม Agreement Declaration สะท้อนการแสวงหาสันติภาพและความปลอดภัยเป็นสำคัญ และได้กล่าวชื่นชมไทยที่เป็นคู่ค้าสูงสุดและเป็นนักลงทุนต่างประเทศลำดับ 2 เพราะการลงทุนของภาคเอกชนไทยมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมที่จะพบและหารือกับนักลงทุน ผู้ประกอบการไทย เพื่อทราบปัญหาและข้อเสนอแนะด้วย
ขณะที่นายอนุทิน กล่าวว่า ไทย-เวียดนาม ต่างเป็นประเทศที่มีศักยภาพ อยากเชิญชวนเวียดนาม มาร่วมมือกันในฐานะพันธมิตร แทนที่จะเป็นคู่แข่งขันซึ่งกันและกัน และขอบคุณเวียดนาม ที่ได้ให้การดูแลและสนับสนุนภาคเอกชนที่เข้าไปลงทุนในเวียดนามเป็นอย่างดี พร้อมย้ำคำเชิญ นายกรัฐมนตรีเวียดนามเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงการประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในปลายปีนี้
และได้หารือกับ นายคริสโตเฟอร์ ลักซอน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ โดยได้ชื่นชมความร่วมมือด้านการค้าระหว่างไทย – นิวซีแลนด์ โดยเฉพาะการค้าสินค้าเกษตร ที่เติบโตขึ้นถึง 3 เท่าในรอบ 20 ปี พร้อมทั้งเสนอให้นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์พิจารณาซื้อข้าวหอมมะลิจากไทยที่มีคุณภาพสูงเพิ่มเติม รวมทั้งขอบคุณรัฐบาลนิวซีแลนด์ ที่ให้ความร่วมมือด้านการศึกษา โดยได้สนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักเรียนไทยมาโดยตลอด








