“อนุทิน” ผลักดันยกระดับความตกลงการค้าเสรี อาเซียน-จีน ส่งเสริมเศรษฐกิจ รับมือความมั่นคงชายแดน ธำรงสันติภาพในภูมิภาค

ภารกิจวันสุดท้ายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เริ่มที่การเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงขยายโอกาสการค้า ภายใต้การยกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน – จีน (ASEAN – China Free Trade Area 3.0 Upgrade) ซึ่งฝ่ายไทยลงนามโดย นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถ้อยแถลงยกย่องความสัมพันธ์อาเซียน – จีน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่เสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความรุ่งเรืองให้กับภูมิภาค ไทยยินดีกับข้อเสนอของจีนในการกำหนดให้ปี 2569 เป็น “ปีแห่งอาเซียน – จีน เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปีของความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership: CSP)” และได้นำเสนอ 3 แนวทางสำคัญ เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน ดังนี้

1. การส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนสามารถสนับสนุนอาเซียนในการเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทาน (กระบวนการทั้งหมดในการผลิตสินค้าหรือบริการ ตั้งแต่ขั้นตอนการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บ ตลอดจนการจัดส่งถึงมือลูกค้า) สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการ MSMEs (Micro, Small and Medium Enterprises ซึ่งหมายถึง ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย) และขับเคลื่อนการเติบโตสีเขียว การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และเกษตรอัจฉริยะ ไทยพร้อมสนับสนุนการดำเนินการตามความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–จีน ฉบับปรับปรุง (ACFTA 3.0) และการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตลอดจนมีส่วนร่วมของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อเสริมสร้างการค้าและการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

2. การรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอาชญากรรมข้ามชาติ อาชญากรรมทางออนไลน์ การค้ามนุษย์ และภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม โดยอาเซียนและจีนควรยกระดับความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย การแบ่งปันข้อมูล และการพัฒนาศักยภาพ เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนในภูมิภาค

3. การธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนยึดมั่นในการเลือกเดินบนเส้นทางแห่งสันติภาพและการเจรจา ซึ่งไทยชื่นชมบทบาทของจีนในการส่งเสริมสันติภาพและการมีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ในภูมิภาค

สำหรับกรณีเมียนมา ไทยพร้อมสนับสนุนความพยายามที่นำไปสู่การปรองดองอย่างแท้จริงและสันติภาพที่ยั่งยืน รวมถึงประเด็นความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ที่ไทยสนับสนุนการเสริมสร้างความไว้วางใจ และการผลักดันการเจรจาจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct: COC) ที่มีผลในทางปฏิบัติ มีเนื้อหาสาระชัดเจน สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ทั้งนี้อาเซียนและจีนสามารถร่วมกันกำหนดอนาคตที่มีความเชื่อมโยงรอบด้าน มีเสถียรภาพ และสันติสุข เพื่อประโยชน์ของประชาชนในภูมิภาค และคนรุ่นต่อไป

จากนั้นได้หารือทวิภาคีกับ พลเอก ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีย้ำว่าการ
ลงนามถ้อยแถลง (Joint Declaration) เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นพื้นฐานสำหรับ 2 ประเทศที่จะเดินหน้า แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องมีการปฏิบัติตามอย่างจริงจังและจริงใจ การหารือในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นความจำเป็นที่ 2 ประเทศจะต้องร่วมมือกันเพื่อเดินหน้านำข้อตกลงไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว พร้อมย้ำความสำคัญใน 4 ประเด็นที่ได้ตกลงกัน เพื่อการลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน คือ 1. การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดนกลับสู่ที่ตั้งปกติ 2. การเก็บกู้ทุ่นระเบิด 3. การปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะสแกมเมอร์ และ 4. การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน

ทั้งนี้ กระบวนการถอนอาวุธหนักได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ไทยต้องการเห็นการเดินหน้าถอนอาวุธหนักอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยของประชาชนบริเวณชายแดน รวมถึงต้องการเพิ่มความเข้มข้นในการประสานงานเพื่อการปฏิบัติตามในเรื่องอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะการประสานงานประเด็นปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การลงพื้นที่เก็บกู้ทุ่นระเบิด และการปฏิบัติตามข้อตกลงเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน

ทั้ง 2 ฝ่าย ยังได้หารือถึงแนวทางเพิ่มการสื่อสารทางการทูต โดยจะมอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศของทั้ง 2 ฝ่ายพบหารือกันโดยเร็ว และยังเห็นพ้องว่าในช่วง 2-3 วันหลังจากการลงนามในถ้อยแถลงฯ มีความสำคัญยิ่ง สำหรับประเทศไทย ประชาชนและสื่อมวลชนของทั้ง 2 ประเทศ ที่จะติดตามความคืบหน้าของการปฏิบัติตามถ้อยแถลงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ดังนั้น จึงเป็นความรับผิดชอบของทั้ง 2 ฝ่ายที่ต้องแสดงให้เห็นถึงการเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ด้วยความจริงใจและด้วยความสุจริตใจ เพื่อสร้างความมั่นคงและปลอดภัยให้แก่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ

ภายหลังการหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ขอให้ฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการเก็บกู้วัตถุระเบิด เพื่อจะได้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่ไทยจะเป็นผู้เก็บกู้เพราะอยู่ในเขตของไทย โดยมีผู้ร่วมสังเกตการณ์เป็นผู้แทนประเทศของกลุ่มอาเซียน ส่วนการปราบปรามสแกมเมอร์ ตำรวจไทยและกัมพูชา ได้ประชุมร่วมกัน เพื่อหาวิธีการปราบปรามป้องกัน รวมทั้งจะร่วมมือกันในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกอย่าง รวมไปถึงการหลอกลวงออนไลน์​ และการหลอกลวงคนไปกักกันหรือทำร้ายด้วย พร้อมทั้งชี้แจงการสัมภาษณ์ที่พูดตกหล่น เรื่อง ไทยรุกล้ำกัมพูชา ว่าตกคำว่าพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งเป็นคำอย่างเป็นทางการ ในพื้นที่ตรงนั้นมีคนไทย และมีคนกัมพูชาอาศัยอยู่ ดังนั้น การดำเนินการในเรื่องนี้ ต้องมีหลักความยุติธรรม รวมทั้งยังไม่มีการพูดถึงการเปิดด่านจนกว่าการดำเนินการทั้งหมดจะสิ้นสุดลง

นอกจากนี้ยังพบหารือทวิภาคีกับนายแอนโทนี แอลบาเนซี นายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย โดยไทยกับออสเตรเลียมีความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิดและสร้างสรรค์ในทุกระดับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เชิญนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาที่สะดวก

นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียใช้โอกาสนี้แสดงความยินดีต่อการลงนามในถ้อยแถลงระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสนับสนุนสันติภาพและความมั่นคง ขณะที่ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกันผลักดันความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ไทย-ออสเตรเลีย และเร่งรัดการจัดทำแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ฉบับใหม่ (ระยะที่ 2 ปี ค.ศ. 2026 – 2029) (Joint Plan of Action to Implement the Thailand-Australia Strategic Partnership: JPoA)     ให้แล้วเสร็จในโอกาสแรก รวมทั้งเพิ่มพูนความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี เช่น Thailand-Australia Free Trade Agreement: TAFTA และ Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP อย่างเต็มที่ ตลอดจนเห็นพ้องกันว่าไทยและออสเตรเลียยังมีศักยภาพที่จะร่วมมือระหว่างกันได้อีกมาก โดยเฉพาะความร่วมมือในด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ความมั่นคงทางอาหาร พลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด รวมถึงการแลกเปลี่ยนนักเรียน/นักศึกษา และการท่องเที่ยวระหว่างกันด้วย

สำหรับภารกิจสุดท้าย นายกรัฐมนตรี พร้อมผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียนและเลขาธิการอาเซียน ร่วมกับนายคริสโตเฟอร์ ลักซอน นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-นิวซีแลนด์ สมัยพิเศษ (ASEAN-New Zealand Commemorative Summit) นายกรัฐมนตรี กล่าว “Kia Ora” ซึ่งเป็นคำทักทายในภาษาเมารี (Maori) ต่อนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ พร้อมแสดงความยินดีต่อการจัดประชุมครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างอาเซียนและนิวซีแลนด์ตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยชื่นชมนิวซีแลนด์ในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ไว้วางใจได้ของอาเซียน มีนโยบายต่างประเทศที่สนับสนุนการค้าเสรี ความร่วมมือพหุภาคี และการดำเนินการตามกฎเกณฑ์สากลอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้การสถาปนาความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน ในโอกาสครบรอบ 50 ปีถือเป็นก้าวสำคัญและเหมาะสมกับสถานการณ์ที่ภูมิภาคกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน พร้อมเสนอถึงการให้ความสำคัญกับ 3 ด้านหลัก ได้แก่

1. ด้านความมั่นคง ไทยเสนอความร่วมมือกับนิวซีแลนด์ในประเด็นความมั่นคงทางทะเล การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมออนไลน์ การบริหารจัดการภัยพิบัติ และการสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุข พร้อมหวังว่ากองทุน Vision Fund จะสนับสนุนโครงการริเริ่มด้านมนุษยธรรมของภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยเห็นว่าการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมา จะเป็นหนทางสู่การเจรจาและสร้างความเชื่อมั่น
โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนของนิวซีแลนด์ต่อความพยายามด้านมนุษยธรรมที่อาเซียนประสานงาน และหวังที่จะทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสันติภาพและเสถียรภาพ

2. ด้านเศรษฐกิจ ไทยเสนอให้มีการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนภายใต้กรอบหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน และเสนอให้จัดการประชุมผู้นำภาคธุรกิจอาเซียน–นิวซีแลนด์ เพื่อหารือแนวทางการใช้ศักยภาพของภูมิภาค การใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจทั้งทางอากาศและดิจิทัล นอกจากนี้ไทยเสนอให้อาเซียนและนิวซีแลนด์ร่วมมือกันในด้านนวัตกรรมสีเขียว พลังงานหมุนเวียน คาร์บอนเครดิต การจัดการป่าไม้ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

3. ด้านประชาชน เสนอให้เสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน เพื่อให้การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมสนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งศูนย์อาเซียน–นิวซีแลนด์ (ASEAN–New Zealand Centre) เพื่อเป็นกลไกกลางในการส่งเสริมความร่วมมืออย่างยั่งยืนในอนาคต

ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลสำเร็จจากการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างวันที่ 26–28 ตุลาคม 2568 โดยนายกรัฐมนตรี ได้นำคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมตลอด 3 วัน ของการประชุม เพื่อเสริมสร้างบทบาทของไทยในเวทีภูมิภาคอาเซียนให้โดดเด่นยิ่งขึ้น และยังสะท้อนภาพลักษณ์ของไทยในฐานะ “พลังแห่งสันติภาพในภูมิภาค” อีกครั้ง รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการทูตของนายกรัฐมนตรี ที่พาไทยกลับมามีบทบาทเชิงรุกในเวทีโลก โดยไทยจะใช้ผลลัพธ์ของการลงนาม “Joint Declaration ไทย–กัมพูชา” เป็นต้นแบบในการเสริมสร้างเสถียรภาพในภูมิภาค จากนี้นายกรัฐมนตรีจะเดินหน้าขยายความร่วมมือเชิงเศรษฐกิจในเวทีเอเปค ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 สานต่อแนวทางสันติภาพ มั่นคง และมั่งคั่ง ของภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง