“คนละครึ่ง พลัส” วันแรกคึกคัก เงินสะพัดกว่า 752 ล้านบาท เตือนห้ามนำสิทธิ์แลกเงินสดผิดฐาน ฉ้อโกง จำคุก 3 ปี ปรับ 60,000 บาท

วันแรกของการเริ่มต้นใช้จ่ายโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวก่อนเดินทางไปร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ถึงโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” โดยแสดงความยินดีกับประชาชนที่จะได้ใช้สิทธิ์ตามโครงการเป็นระยะเวลา 2 เดือนต่อจากนี้ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมกันใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับคนไทยทั่วประเทศ สำหรับ “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” รัฐบาลจะเร่งหารือกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อนำข้อมูลและเสียงสะท้อนจากประชาชนผู้ใช้งานมาพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่สามารถใช้แอปพลิเคชัน และเครื่องมือสื่อสารรุ่นเก่าได้ เพื่อให้ได้รับสิทธิ์อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ส่วนกรณีร้านค้าบางรายอาจอาศัยช่องโหว่แลกรับสิทธิ์เป็นเงินสด ซึ่งการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมาย และขัดต่อเจตนารมณ์ของโครงการนั้น ได้สั่งการให้ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจแก่ร้านค้าและประชาชนให้มากขึ้น หากตรวจสอบพบการกระทำผิดจะต้องมีการสอบสวนอย่างจริงจัง ย้ำว่า โครงการคนละครึ่ง พลัส ถือเป็นโอกาสของประชาชนทุกคนในการร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงขอให้ใช้สิทธิ์อย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้รับทราบรายงานการใช้จ่ายตามโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่เป็นไปอย่างคึกคัก ปลื้มที่กระแสโครงการฯ ได้รับการตอบรับจากประชาชนและร้านค้าเป็นอย่างดี โดยข้อมูลการใช้จ่ายวันแรก (29 ต.ค. 68) ณ เวลา 15.00 น. มีผู้ใช้จ่ายผ่านโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” สำเร็จแล้ว 3.60 ล้านราย ยอดใช้จ่ายรวมกว่า 752.25 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายจำนวน 379.44 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 372.80 ล้านบาท ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00 – 23.00 น. ผ่าน G-Wallet ในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยในแต่ละวันไม่จำเป็นต้องใช้จ่ายให้เต็มสิทธิ์ 200 บาท

ขอเน้นย้ำว่า ประชาชนจะต้องเริ่มใช้สิทธิ์คนละครึ่ง พลัส ครั้งแรกภายในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23.00 น. ซึ่งหากพ้นระยะเวลาดังกล่าว จะถือว่าไม่ประสงค์เข้าร่วมโครงการฯ และถูกตัดสิทธิ์ในโครงการฯ และสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ จะไม่มีการนำส่งข้อมูลรายได้ของร้านค้าให้แก่กรมสรรพากรแต่อย่างใด

ขณะที่นายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ร้านค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ยังคงสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 โดยร้านค้าที่ประสงค์จะขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) สามารถเลือกเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการ Food Delivery Platform ที่ได้รับอนุมัติเข้าร่วมโครงการฯ ได้ 1 แพลทฟอร์ม ผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่งจะเปิดให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารและเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 06.00 – 21.00 น. ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

พร้อมฝากถึงประชาชนว่ารัฐบาลจะเดินหน้าทำโครงการฯ เฟส 2 อย่างแน่นอน พร้อมกันนี้ยังได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามกลโกงร้านค้าที่โฆษณาเชิญชวนประชาชนที่ได้รับสิทธิ์โครงการฯ นำวงเงินตามสิทธิ์มาแลกเป็นเงินสด ให้ดำเนินการจับกุมและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

รัฐบาลย้ำเตือนประชาชนและร้านค้าห้ามซื้อขายสิทธิ์หรือใช้สิทธิ์โครงการฯ โดยไม่มีการซื้อขายจริง และอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนให้แลกวงเงินสิทธิ์โครงการฯ เป็นเงินสด เนื่องจากเป็นการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากมีการแลกวงเงินสิทธิ์โครงการฯ เป็นเงินสดสำเร็จ จะถือเป็นความผิดทางอาญาฐานร่วมกันฉ้อโกง ทั้งผู้แลกและผู้รับแลก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตลอดจนต้องคืนเงินให้แก่รัฐบาลทั้งจำนวนที่เคยได้รับไป รวมถึงอาจถูกระงับสิทธิ์ไม่ให้เข้าร่วมโครงการอื่นของรัฐบาลอีกด้วย

กระทรวงการคลัง ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง แถลงเปิดปฏิบัติการทลายกลโกงร้านค้าที่โฆษณาเชิญชวนประชาชนที่ได้รับสิทธิ์โครงการฯ ให้นำวงเงินตามสิทธิ์มาแลกเป็นเงินสด โดยมีส่วนต่างที่ต้องหักให้ร้านค้า ซึ่งไม่ก่อให้เกิดการซื้อขายสินค้าหรือบริการจริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ โดยได้จับกุมตัวผู้ต้องหาจำนวน 3 รายเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมทั้งกำชับเตือนประชาชนและร้านค้าห้ามซื้อขายสิทธิ์หรือใช้สิทธิ์โครงการฯ โดยไม่มีการซื้อขายจริง และโปรดอย่าหลงเชื่อการเชิญชวนให้แลกวงเงินสิทธิ์ โครงการฯ เป็นเงินสด

นอกจากนี้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มีการตรวจพบพฤติกรรมแลกสิทธิ์เป็นเงินสดในบางพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการแล้ว โดยกระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารกรุงไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำว่าโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” มีระบบตรวจสอบข้อมูลหลังบ้านที่รัดกุม พร้อมย้ำกติกาของโครงการอย่างชัดเจนว่า ต้องการให้ประชาชนใช้สิทธิ์ตามวัตถุประสงค์อย่างโปร่งใส ไม่เกิดการทุจริต โดยระบบตรวจจับ (detect) ความผิดปกติในครั้งนี้มีความรวดเร็วและแม่นยำมาก หากพบพฤติกรรมผิดปกติ ระบบจะตรวจสอบและระงับสิทธิ์ทันที ส่วนโครงการ “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” ขณะนี้นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันแนวทางดำเนินการแล้ว อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดเพื่อรองรับผู้ที่ตกหล่นจากรอบแรก และอาจมีการเพิ่มเติมสิทธิ์หรือเงื่อนไขใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

สำหรับ โครงการ “เที่ยวดีมีคืน” ที่เริ่มเปิดให้ประชาชนใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากการเดินทางท่องเที่ยวในวันที่ 29 ตุลาคม 2568 เป็นวันแรกเช่นเดียวกัน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลให้ประชาชนใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีตามมาตรการ เที่ยวดีมีคืน โดยโครงการนี้เป็นการสนับสนุนให้ประชาชนท่องเที่ยวเมืองรองเพื่อเกิดการกระจายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวทั้งค่าที่พักโฮมสเตย์ไทย หรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม และค่าบริการของร้านอาหาร มาหักลดหย่อนภาษีได้ 20,000 บาท สำหรับการเที่ยวเมืองหลัก ส่วนการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัดและพื้นที่บางอำเภอในจังหวัด 15 จังหวัด สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30,000 บาท หรือ 1.5 เท่า กรณีนิติบุคคลที่จัดอบรม สัมมนา สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เป็นค่าห้องพัก ค่าห้องสัมมนา ค่าใช้จ่ายเพื่อการจัดการ ค่าวิทยากร และค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการอบรม สัมมนา มาหักลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน โดยสามารถหักลดหย่อนได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง พร้อมเชิญชวนผู้ประกอบการโรงแรม ร้านค้า และที่พักให้ปรับปรุงอาคารที่พัก หรือร้านค้าให้ทันสมัยขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งสามารถนำมาหักลดหย่อนได้ 2 เท่า ของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 15 ธันวาคม 2568

ข่าวที่เกี่ยวข้อง