พันตำรวจตรี วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย ร้อยโท ภชภณ สุพานิชวรภาชณ์ ผู้อำนวยการส่วนคดีคุ้มครองผู้บริโภค 1 และคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 90/2568 สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงาน อาทิ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 13 ชลบุรี ผู้แทนบริษัทอิฟง จำกัด และเจ้าของที่ดิน ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่ตำบลคลองกิ่ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี
จากการตรวจสอบ พบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นโกดังและโรงงานของ บริษัท อิฟง จำกัด ซึ่งใช้เป็นที่เก็บและกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีการตรวจพบวัตถุอันตรายซึ่งเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ประเภทชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมกว่า 300 ตัน หรือ 300,000 กิโลกรัม ซึ่งเข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ บริษัทอิฟงฯ ไม่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองวัตถุอันตรายดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดขยะทั้งหมดไว้ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พร้อมร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อดำเนินคดีและเก็บรักษาของกลางไว้ในที่เกิดเหตุ
ต่อมา คดีดังกล่าวเข้าข่ายเป็น คดีพิเศษ และได้ส่งสำนวนการสอบสวนมายังกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ โดยระบุว่าอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรีได้สั่งให้บริษัทอิฟงฯ ดำเนินการเคลื่อนย้ายของกลางไปบำบัดและกำจัดในโรงงานที่ได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง
เจ้าหน้าที่ DSI จึงได้ลงพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ที่ร่วมตรวจยึดในวันเกิดเหตุ นำชี้จุดที่ตั้งของกองขยะอิเล็กทรอนิกส์ก่อนนำไปกำจัด พร้อมจัดทำแผนที่เกิดเหตุ และสอบปากคำเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อขยายผลหาตัวผู้กระทำความผิดทั้งหมด และยืนยันให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และข้อสั่งการของ พลตำรวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงพันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพันตำรวจโท อนุรักษ์ โรจนนิรันดร์กิจ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่มอบหมายให้กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค ดำเนินการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับวัตถุอันตราย โดยเฉพาะ ขยะอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งทิ้งขยะพิษจากต่างประเทศ อันเป็นการปฏิบัติตาม อนุสัญญาบาเซล (Basel Convention) ว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตราย








