“อนุทิน” หารือภาคธุรกิจ ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค แสดงความพร้อมเป็นพันธมิตรด้านการค้า การลงทุน การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค

ภารกิจช่วงก่อนเข้าสู่การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 ที่เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือทวิภาคีกับนายอัน แจ-ยง ประธานบริษัท SK bioscience Co., Ltd. และ นายเช แทวอน โดยมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมหารือ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ครั้งที่ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2565 ได้หารือเกี่ยวกับโครงการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างองค์การเภสัชกรรม (Government Pharmaceutical Organization : GPO) และ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ( The National Vaccine Institute : NVI) กับ SK bioscience  ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายชัดเจนต่อการเสริมสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนของไทย ส่งเสริมการใช้วัคซีนที่ผลิตในประเทศ ภายใต้ยุทธศาสตร์การพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนของชาติ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การยกระดับศักยภาพโรงงานผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรมไทย ให้สามารถพัฒนาวัคซีนที่ผลิต ซึ่งจะทำให้มีราคาเหมาะสมและประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้ รวมถึงการมีวัคซีนที่ครอบคลุม เพื่อเตรียมความพร้อมและรองรับวิกฤตด้านสุขภาพ คาดหวังว่า หากมีความร่วมมือระหว่าง GPO และ SK bioscience ในการผลิตวัคซีน ไทยจะมีวัคซีนภายใน 100 วัน หากเกิดภาวะระบาดใหม่ ด้วยราคาเหมาะสมสามารถทำให้ราคาวัคซีนในประเทศลดลง

โอกาสนี้ ประธานบริษัท SK bioscience Co., Ltd. กล่าวถึงความร่วมมือในการร่วมทุนกับองค์การเภสัชกรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้การผลิตวัคซีน เชื่อว่า การร่วมมือกับไทย จะนำไปสู่การผลิตวัคซีนตามความคาดหวัง และขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้คำแนะนำในการพัฒนาวัคซีนที่ครอบคลุมและหลากหลาย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านวัคซีนทั้งในไทยและระดับภูมิภาค

จากนั้นได้หารือกับผู้แทนกลุ่มนักธุรกิจสหรัฐอเมริกา สมาชิกองค์กร US – APEC Business Coalition พร้อมผู้เข้าร่วมจากภาคเอกชนสหรัฐอเมริกา หลากหลายบริษัท อาทิ Amazon, Boeing, Citi, Coupang, Johnson & Johnson, Mastercard, Merck, Moody’s, Paypal และ Organon เป็นต้น โดยนาง Monica Hardy Whaley ประธาน National Center for APEC ขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยที่เห็นถึงความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในไทยของภาคเอกชนต่างประเทศ และมีนโยบายที่ช่วยส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างชาติ

ขณะที่นายกรัฐมนตรี ย้ำถึงความสำคัญของภาคเอกชนสหรัฐอเมริกา ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตและพัฒนาทางเศรษฐกิจทั้งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและในประเทศไทย ซึ่งจากการมีโอกาสได้พบปะหารือกับ
นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่มาเลเซีย และได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน (Framework for a United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) และยังได้พบอีกครั้งระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำ ซึ่งได้ย้ำถึงการขอให้พิจารณาเรื่องภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐอเมริกาต่อไทย โดยประธานาธิบดีทรัมป์รับปากที่จะให้ผู้แทนทางการค้าสหรัฐอเมริกาหารือ  กับไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับการค้าการลงทุนระหว่าง 2 ประเทศยิ่งขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนสหรัฐอเมริกา และพร้อมรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อการลงทุนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ในเดือนพฤศจิกายน คณะ US–ASEAN Business Council จะเดินทางเยือนไทยเพื่อหารือเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ส่วนนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง รัฐบาลได้กำหนดนโยบายเชิงรุกและเร่งผลักดันผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ลดภาระหนี้ครัวเรือน สนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs และดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ รวมทั้งมุ่งสร้างระบบเศรษฐกิจ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดขั้นตอนการดำเนินธุรกิจให้เอื้อต่อผู้ลงทุนมากที่สุด รวมทั้งขยายความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 24 ประเทศใน 17 ฉบับ และกำลังเร่งเจรจากับสหภาพยุโรป สาธารณรัฐเกาหลี และตุรกี

ไทยกำลังลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานคุณภาพสูง ทั้งด้านโลจิสติกส์ ดิจิทัลไฟแนนซ์ และพลังงาน เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานและรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น โครงการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct Power Purchase Agreements) ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของอุตสาหกรรมอนาคต พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ ผ่านโครงการเพิ่มทักษะและทักษะใหม่ โดยตั้งเป้าผลิตแรงงานทักษะสูง 280,000 คน ภายในปี 2571 พร้อมย้ำว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย – สหรัฐอเมริกา เป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ โดยในปี 2567 สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยและเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ไทยมีมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศสูงสุดในรอบ 10 ปี รวม 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันการลงทุนของภาคเอกชนไทยในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไทยยังยินดีที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา เช่น Amazon Web Services, Google และ Microsoft ได้ขยายการลงทุนในไทย โดยเฉพาะโครงการ data center และระบบคลาวด์ ซึ่งจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ พร้อมเชิญชวนภาคเอกชนสหรัฐอเมริกา ร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอุตสาหกรรมเกษตร – อาหาร ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงและพร้อมต่อยอดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงจากสหรัฐอเมริกา และย้ำความเชื่อมั่นว่าการหารือครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อน
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย – สหรัฐอเมริกา ให้เติบโตอย่างมั่นคง สร้างประโยชน์ร่วมกันแก่ภาคธุรกิจและประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ

นายกรัฐมนตรี ได้รับเกียรติเป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในการประชุมสุดยอดผู้นำภาคธุรกิจของเอเปคประจำปี 2568 (APEC CEO Summit 2025) ภายใต้หัวข้อ “Bridge. Business. Beyond.” ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทีสำคัญระดับผู้นำเศรษฐกิจและภาคเอกชนของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวผ่านจุดเปลี่ยนทางยุทธศาสตร์สำคัญ จากประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง จากฐานการผลิตสู่ฐานนวัตกรรม และจากผู้มีส่วนร่วมในภูมิภาคสู่การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงของภูมิภาค (Regional Connector) รัฐบาลมุ่งมั่นวางรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืนเพื่ออนาคตของประเทศ ผ่านแนวทาง “Quick Big Win” ซึ่งหัวข้อการประชุมในครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาล ซึ่งมุ่งเน้น 3 ด้านหลัก คือ

1. การเชื่อมช่องว่างทางเศรษฐกิจ เน้นย้ำว่า การเติบโตที่แท้จริงต้องเริ่มจากประชาชน เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจจะไร้ความหมาย หากไม่เป็นการเติบโตที่ทุกคนมีส่วนร่วม และได้รับประโยชน์จากพลังของนวัตกรรม โดยรัฐบาลเปิดตัวโครงการสำคัญ คือ โครงการคนละครึ่ง พลัส เพื่อลดภาระค่าครองชีพ กระตุ้นการใช้จ่าย และส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล นอกจากนี้ รัฐบาลได้ลงทุนในการพัฒนาทักษะใหม่ (Reskilling) และส่งเสริมความรู้ด้านดิจิทัล ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยเปิดโอกาสให้คนไทยจำนวนมากสามารถมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความรู้และนวัตกรรม

2. การสร้างโอกาสทางธุรกิจ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และพัฒนาระบบสินเชื่อให้โปร่งใสและเข้าถึงได้ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมเร่งขับเคลื่อนโครงการ “SME Reboot and Go Digital” เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 200,000 ราย ให้สามารถใช้เครื่องมือออนไลน์เข้าถึงการตลาดดิจิทัล และระบบ e-payment ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ทั้งนี้ รัฐบาลได้เริ่มกระบวนการปฏิรูปการบริหารภาครัฐ ลดขั้นตอนราชการ ส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ดึงดูดการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นในโลกออนไลน์ และสนับสนุนความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับโลก ในการรับมืออาชญากรรมไซเบอร์และการหลอกลวงออนไลน์

3. การมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าเดิม เพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขัน มุ่งให้ไทยอยู่แถวหน้าของอุตสาหกรรมและความร่วมมือใหม่ ๆ ที่จะกำหนดอนาคตของการเติบโต โดยรัฐบาลร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยี
ชั้นนำระดับโลก เช่น Tesla, BYD, Foxconn, Google Cloud, Amazon Web Services, Huawei Cloud และ Microsoft เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของประเทศ รวมถึงลงทุนในโครงข่าย 5G ครอบคลุมร้อยละ 85 ของประชากร ระบบ Digital ID และสายเคเบิลใต้น้ำเชื่อมไทยกับศูนย์กลางในเอเชีย

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังขับเคลื่อนนโยบายความยั่งยืนและการเป็นผู้นำด้านภูมิอากาศ มองการแก้ปัญหาโลกร้อนเป็นโอกาสในการสร้างงาน ดึงดูดการลงทุน และขยายขอบเขตการเติบโตบริษัทไทย เช่น PTT และ SCG ลงทุนในไฮโดรเจนสีเขียวและวัสดุคาร์บอนต่ำ ขณะที่พันธมิตรระดับโลก เช่น BMW และ Toyota ขยายระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ

รัฐบาลได้ส่งเสริมตลาดคาร์บอน การเกษตรยั่งยืน และกลไกการเงินสีเขียว ซึ่งสนับสนุนไทยในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050

พร้อมทั้งเน้นย้ำว่า ทุกความพยายามของรัฐบาลทั้งหมดนี้ คือการสร้าง “สะพาน” เชื่อมผู้คนผ่านโอกาสและการมีส่วนร่วม เชื่อมเศรษฐกิจผ่านการค้าและนวัตกรรม มุ่งใช้ภาคธุรกิจเป็น “สะพานแห่งความร่วมมือ”ที่ไม่เพียงสร้างกำไรแต่ยังสร้างความก้าวหน้า และไทยเปิดกว้างและพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคี เพื่อแปรเป้าหมายให้เป็นการลงมือปฏิบัติ พร้อมเน้นย้ำว่า “ความมั่งคั่งที่สามารถเข้าถึงแบ่งปันได้ คือความมั่งคั่งที่ยั่งยืน”

จากนั้นยังได้พบหารือทวิภาคีกับนายอี แจ มย็อง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดยนายกรัฐมนตรีเชิญประธานาธิบดีเกาหลีใต้เยือนไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ สำหรับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ไทยเสนอให้ทั้ง 2 ประเทศตั้งเป้าหมายการค้าให้ถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเขตการค้าเสรี (FTA) เป็นเครื่องมือสำคัญ พร้อมยืนยันว่าไทยจะให้การดูแลนักลงทุนเกาหลีใต้อย่างเต็มที่ ทั้งในโครงการของ Hyundai, COSMAX, KakaoBank ที่จะจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาในไทย และบริษัท Korea Land & Housing Corporation (LH) ที่จะตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกาหลีใต้แห่งแรกในไทย นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล จะนำคณะนักธุรกิจเกาหลีใต้มาหารือความร่วมมือกับภาคเอกชนไทยในอีก
2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งไทยยินดีต้อนรับและพร้อมอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่

สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จะมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยศึกษาระบบนิเวศด้านอุตสาหกรรมคอนเทนต์ของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะการสนับสนุนสตาร์ทอัพ และ SMEs ทั้งด้านทักษะและงบประมาณ พร้อมกันนี้ยังขอให้ประธานาธิบดีเกาหลีใต้พิจารณาเพิ่มจำนวนแรงงานถูกกฎหมาย ที่จะมาทำงานที่เกาหลีใต้ รวมทั้งช่วยดูแลปัญหาที่คนไทยและนักท่องเที่ยวไทยถูกปฏิเสธการเข้าเมือง

นายกรัฐมนตรี ยังได้พบหารือทวิภาคีกับ นายมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา โดยนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแคนาดา เห็นพ้องว่าจะร่วมมือส่งเสริมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และยังประสงค์ให้
การเจรจา FTA ระหว่างไทย-แคนาดา สามารถสรุปผลได้ภายในปีหน้า (2569)

ด้านการศึกษาและการท่องเที่ยว ทั้ง 2 ฝ่ายเน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมโอกาสทางการค้าและ
การลงทุนมากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรียังได้นำเสนอจุดแข็งของไทย เรื่องอัธยาศัยไมตรีของคนไทยและการต้อนรับ
ที่อบอุ่น โดยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนผ่านการท่องเที่ยวและแลกเปลี่ยนทางการศึกษาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาด้านอาชีวะในการดูแลผู้สูงอายุและการพยาบาล ซึ่งไทยมีจุดแข็งด้านสุขภาพ ตลอดจน
เพิ่มโอกาสการฝึกอบรมวิชาชีพสำหรับนักศึกษาไทยในแคนาดา

ทั้ง 2 ฝ่ายยังยินดีกับการเปิดเส้นทางบิน Vancouver-Bangkok ของสายการบินแอร์แคนาดาจากเดิม
เป็นฤดูกาลมาเป็นการบริการตลอดทั้งปี (เริ่ม 28 ต.ค. 68) ซึ่งจะส่งเสริมการเดินทางระหว่างกัน โดยในแต่ละปี
จะมีคนไทยประมาณ 15,000 คน เดินทางเยือนแคนาดา ในขณะที่มีชาวแคนาดาเดินทางมาไทยมากถึง 251,000 คนต่อปี และไทยเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอันดับ 2 สำหรับชาวแคนาดา

ความร่วมมือด้านอาหาร นายกรัฐมนตรีอยากเห็นความร่วมมือที่ใกล้ชิดและเข้มแข็งกับแคนาดามากยิ่งขึ้นเนื่องจากเป็นสาขาที่ไทยมีศักยภาพ โดยนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังได้เสนอให้ไทยเป็น food security และ food hub ให้กับแคนาดา นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือด้านดิจิทัล พลังงานสะอาด และเกษตรอัจฉริยะ รวมถึงการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องว่า จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ไขและต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการฉ้อโกงออนไลน์และศูนย์สแกมเมอร์ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ และคาดหวังว่าจะทำงานร่วมกับแคนาดา ซึ่งมีความเข้มแข็ง ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ส่งเสริมศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชน

ความร่วมมือในกรอบเอเปค นายกรัฐมนตรียินดีที่ไทยและแคนาดามีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในเอเปค โดยเฉพาะด้านการค้า สภาพภูมิอากาศ ความยั่งยืน SMEs และความครอบคลุม ด้านแคนาดามุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสานต่อความร่วมกันต่อไป และต่างหวังว่าเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคจะสามารถหาจุดร่วมในประเด็นที่ซับซ้อนและบรรลุผลลัพธ์ที่เป็นฉันทามติ เพื่อให้เอเปคยังคงบทบาทนำในการส่งเสริมการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกต่อไป

ความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในการส่งเสริมความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในพื้นที่ยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ร่วมกัน ครอบคลุมการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ การฉ้อโกงออนไลน์ ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ความร่วมมือทางทะเล AI เศรษฐกิจดิจิทัล การค้าและการลงทุน และการพัฒนาที่ยั่งยืน และไทยสนับสนุนแคนาดาในการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-แคนาดาให้แล้วเสร็จ

ภารกิจดังกล่าวนับเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกต่อความพร้อมของไทยในการเป็นพันธมิตรด้านการค้า
การลงทุน และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคในอนาคต ควบคู่กับการกระชับความร่วมมือกับภาคธุรกิจและผู้นำเขตเศรษฐกิจสำคัญอย่างเกาหลีใต้และแคนาดา ก่อนเข้าสู่การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าเชิงรูปธรรมในระดับภูมิภาค

ข่าวที่เกี่ยวข้อง