“อนุทิน” สั่งการ “มหาดไทย” สนับสนุน “คนละครึ่ง พลัส” เชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้า ร้าน OTOP ลงทะเบียน กระจายรายได้สู่ชุมชน

โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพในสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว ผ่านวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น เพื่อการศึกษา หรือวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม จากร้านค้าธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านอื่นๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด โดยเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568

(30 ต.ค. 68) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัด
ทั้ง 76 จังหวัด สนับสนุนการดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การเชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้า/ผู้ประกอบการ
OTOP ในพื้นที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ” พร้อมทั้งร่วมสนับสนุนการออกหน่วยให้บริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่ออำนวยความความสะดวกในการรับลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้าในพื้นที่ตำบล/ชุมชน กระทรวงมหาดไทยจึงได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพิ่มประสิทธิภาพการขับเคลื่อนโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน ได้แก่

1. ให้อำเภอ พร้อมทั้งขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออกหน่วยบริการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่ออำนวยความสะดวกในการรับลงทะเบียนผู้ประกอบการร้านค้าในระดับพื้นที่ตำบล/ชุมชน และเพิ่มจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้ทั่วถึงและครอบคลุมในทุกกลุ่มร้านค้า

2. ให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอ เชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้า/ผู้ประกอบการ OTOP เข้าร่วมโครงการฯ และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า OTOP จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพิ่มเติม เช่น การจัดตลาดนัดสินค้า OTOP เป็นประจำทุกสัปดาห์ ณ ศาลากลางจังหวัดหรือที่ว่าการอำเภอ เพื่อเกิดการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย อุดหนุนสินค้าคุณภาพฝีมือคนไทย และกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับชุมชน

3. ประชาสัมพันธ์และทำความเข้าใจกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ว่าสำหรับร้านค้า
ที่เข้าร่วมโครงการฯ
กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มิได้มีการส่งต่อข้อมูลธุรกรรมให้กับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด

4. มอบหมายที่ทำการปกครองจังหวัด เป็นหน่วยงานในการรายงานผลการดำเนินงานการประชาสัมพันธ์โครงการฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์รายสัปดาห์ในทุกวันศุกร์ โดยให้รายงานครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 จนถึงวันสิ้นสุดโครงการ

ทั้งนี้ จากข้อมูล ณ วันที่ 24 ต.ค. 68 มีจำนวนผู้ประกอบการ OTOP ลงทะเบียนเป็นผู้ประกอบการตามโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” แล้ว 9,066 ร้านค้า โดย 5 จังหวัดแรกที่มีผู้ประกอบการเข้าร่วมมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดลพบุรี ปทุมธานี นครนายก สมุทรสงคราม และอุทัยธานี ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดและอำเภอ กำลังเร่งประสานและประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้สมัครเข้าร่วมเป็นผู้ประกอบการคนละครึ่ง พลัส เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่พี่น้องประชาชนคนไทยในทุกชุมชนอย่างทั่วถึง ทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นถึงคุณภาพของสินค้าและบริการ OTOP ที่ทางรัฐบาลให้ความสำคัญและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง โดยร้านและผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568

นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำถึงวัตถุประสงค์ของโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ว่าเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยได้กำหนดสินค้าและบริการต้องห้ามไว้อย่างชัดเจนเพื่อป้องกันการใช้ผิดวัตถุประสงค์ หากร้านค้าหรือผู้ใช้สิทธิฝ่าฝืนอาจถูกระงับสิทธิได้ทันที โดยสินค้ากลุ่มต้องห้ามดังกล่าวประกอบด้วย สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด ผลิตภัณฑ์ยาสูบ บัตรกำนัล (Gift Voucher) และบัตรเงินสด และการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า

นอกจากนี้ ห้ามผู้ประกอบการรับหรือเรียกรับ ทอนเป็นเงินสด หรือประโยชน์ในรูปแบบอื่นใดจากการขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านบริการ Food Delivery ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม และห้ามผู้ร่วมโครงการกระทำการใดๆ ที่สร้างความเข้าใจผิดต่อมาตรการ หรือก่อให้เกิดอุสรรคต่อการดำเนินโครงการของรัฐ

เตือนประชาชนที่ได้รับสิทธิ “คนละครึ่ง พลัส” แล้วนำมาขายสิทธิให้ผู้อื่น และร้านค้าหรือกลุ่มร้านค้าร่วมมือกับผู้ได้รับสิทธิคนละครึ่งพลัส ใช้สิทธิโดยไม่มีการซื้อ-ขายสินค้าจริง เป็นการกระทำที่มีความผิดฐาน “ฉ้อโกง” (มาตรา 341/342 ประมวลกฎหมายอาญา) มีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกระงับสิทธิไม่ให้เข้าร่วมโครงการอื่นของรัฐบาล รวมถึงต้องคืนเงินให้รัฐบาลด้วย   

ด้านนายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้หารือกับบริษัทแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ของประเทศไทย อาทิ Shopee Lazada Grab TikTok และ LINE MAN เพื่อหาแนวทางสนับสนุนรัฐบาลในการขับเคลื่อนโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ หลังจากเปิดให้ประชาชนใช้สิทธิโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” วันแรก (29 ต.ค. 68) ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างคึกคัก รวมการใช้จ่ายกว่า 1,900 ล้านบาท ซึ่งจากการหารือแต่ละแพลตฟอร์มได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการควบคุมราคาสินค้า และดูแลความเป็นธรรมของผู้บริโภค โดยได้มีมาตรการ “ล็อกราคา” สินค้าและบริการในช่วงดำเนินโครงการเพื่อป้องกันการปรับขึ้นราคา ซึ่งถือเป็นอีกแรงสนับสนุนที่สำคัญต่อการดำเนินนโยบายของภาครัฐ เนื่องจากมีข้อมูลราคาสินค้าเดิมอยู่แล้ว จึงสามารถกำหนดระบบปิดการแก้ไขราคาชั่วคราว เพื่อป้องกันการขึ้นราคาสินค้าในระหว่างโครงการ ทั้งนี้ แพลตฟอร์มต่างๆ มีระบบรายงานผลการใช้จ่ายไปยังกระทรวงการคลังทุกวัน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และติดตามความเคลื่อนไหวได้อย่างโปร่งใส

นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้เปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนเพิ่มเติม ผ่านสายด่วน 1166 โดยจัดเพิ่มอีก 10 คู่สายเฉพาะกิจ เพื่อรองรับประชาชนที่ประสบปัญหาเรื่องราคาสินค้าหรือได้รับความไม่เป็นธรรมจากการเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” อีกทั้ง แพลตฟอร์มด้านบริการส่งอาหาร เช่น Grab หรือ LINE MAN ได้ออกมาตรการพิเศษและโปรโมชั่นร่วมกับรัฐบาล เพื่อลดภาระค่าบริการของประชาชน และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถขายสินค้า
ได้มากขึ้น ซึ่งนับเป็นความร่วมมือที่สะท้อนถึงพลังของภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศร่วมกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง