“อนุทิน” ผลักดันเอเปคที่เปิดกว้าง ส่งเสริมการมีส่วนร่วม มุ่งสู่อนาคต พร้อมเป็นสะพานเชื่อมขับเคลื่อน การค้า การลงทุน ความเชื่อมโยงภูมิภาค

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 รอบที่ 1 (The 32nd APEC Economic Leaders’ Meeting – Session I) ภายใต้หัวข้อ “Towards a More Connected, Resilient Region and Beyond” ที่เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี พร้อมกล่าวถ้อยแถลง ขอบคุณผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ได้กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกประจำปี 2025 โดยกล่าวอ้างถึงถ้อยคำของผู้อำนวยการ IMF ที่ระบุว่า “ความไม่แน่นอนคือความปกติใหม่”ซึ่งเห็นว่า ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ความร่วมมือไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น” พร้อมย้ำว่า เอเปคต้องคงไว้ซึ่งความเปิดกว้าง การมีส่วนร่วม และมุ่งสู่อนาคต เพื่อสร้างภูมิภาคที่มีความเข้มแข็งและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น

การค้าเสรีและตลาดที่เชื่อมโยงกัน คือ รากฐานของความมั่งคั่งที่ยั่งยืน ไทยสนับสนุนกรอบความร่วมมือที่ทันสมัย ครอบคลุม และตั้งอยู่บนกติกาสากล เพื่อให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจ MSMEs (Micro, Small and Medium Enterprises หมายถึง ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย) ให้ได้รับประโยชน์จากการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ขณะเดียวกัน การลงทุนควรเป็นแรงขับเคลื่อนทั้งด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน โดยไทยได้ดำเนินโครงการ Thailand FastPass เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนคุณภาพในสาขาพลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้การเติบโตในวันนี้ช่วยรักษาโลกให้คนรุ่นต่อไป

ทั้งนี้ภาคเอกชนคือกำลังหลักในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต โดยการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การเสริมสร้างทักษะด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการปรับมาตรฐานดิจิทัลให้สอดคล้องกัน จะช่วยให้การค้าระหว่างเขตเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ซึ่งไทยได้รับแรงบันดาลใจจากความร่วมมือในกรอบเอเปค และได้เริ่มกระบวนการเข้าสู่การเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) เพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยึดมั่นต่อมาตรฐานสากลและความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจ และไทยยังมุ่งขยายความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจนอกภูมิภาค โดยในปีนี้ ไทยและจีนจะร่วมเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดความร่วมมือล้านช้าง–แม่โขง และในปีหน้า ไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Ministerial Meeting) และการประชุมประจำปีของ IMF และธนาคารโลก ซึ่งการประชุมเหล่านี้จะเป็นเวทีสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกเอเปคและนอกเอเปค เพื่อร่วมกันรับมือกับความท้าทายและเปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจเอเปค สามารถร่วมกันสร้างภูมิภาคที่เชื่อมโยง เข้มแข็ง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพื่อประชาชนในวันนี้และคนรุ่นต่อไปในอนาคต

จากนั้นได้เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค (ABAC Dialogue with APEC Economic Leaders) โดยเป็นผู้แทน ABAC จากชิลี บรูไน จีน และมาเลเซีย เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางส่งเสริมศักยภาพของไทยด้านเศรษฐกิจ และบทบาทของเอเปคในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต ในหัวข้อ “ศักยภาพของไทยในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และความเชื่อมโยงในภูมิภาค” พร้อมเสนอ 3 แนวทางดังนี้ 

1) การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค (Enhancing Regional Connectivity) โดยไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเอเชีย จึงเป็น “สะพาน” เชื่อมโยงเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และอาเซียน ทำให้ไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางด้านการค้า โลจิสติกส์ และการลงทุน ทั้งนี้ รัฐบาลกำลังลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น โครงการแลนด์บริดจ์ เพื่อเชื่อมโยงมหาสมุทรอินเดียกับแปซิฟิก และสร้างเส้นทางห่วงโซ่อุปทานใหม่ รวมถึงยกตัวอย่างความร่วมมือในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความต่อเนื่องของการขนส่งสินค้าและการเดินทางระหว่างประเทศผ่านโครงการ APEC Safe Passage Corridor

2) การลงทุนเพื่ออนาคต (Investing in the Future) ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ที่มุ่งเน้นการดำเนินการระยะสั้นเพื่อผลลัพธ์ระยะยาว ไทยส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) เซมิคอนดักเตอร์ ชีวเทคโนโลยี และปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีและสตาร์ทอัพ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพและการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีความครอบคลุมและเป็นธรรมสำหรับทุกคน

3) การขับเคลื่อนการเติบโตสีเขียวและยั่งยืน (Driving Green and Sustainable Growth) โดยภายใต้เป้าหมายกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Goals on the Bio-Circular-Green Economy ไทยเป็นผู้นำในการผลักดันอุตสาหกรรมสีเขียว การลงทุนตามหลัก ESG และการเงินที่มีความรับผิดชอบ พร้อมขอบคุณสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคที่ให้คำมั่นสนับสนุนแนวทางดังกล่าว

นอกจากนี้ ไทยยังมีมาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในพลังงานสะอาด อุตสาหกรรมปิโตรเคมีมูลค่าสูง และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งตั้งเป้าการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ภายในปี 2573 เพื่อยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล ความโปร่งใส และความร่วมมือใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับประเทศสมาชิกเอเปค และเน้นย้ำว่า ภาครัฐเป็นผู้กำหนดทิศทาง แต่ภาคธุรกิจคือผู้ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นจริง เชื่อมั่นว่าด้วยการทำงานร่วมกันของ ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกจะสามารถสร้างความเชื่อมโยง ความสามารถในการแข่งขัน และความยั่งยืน เพื่อประโยชน์ของประชาชนในทุกเขตเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามจุดแข็งของเอเปคอยู่ที่ความครอบคลุมและลักษณะความร่วมมือโดยไม่ผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งเปิดโอกาสให้ทดลองแนวคิดใหม่ ๆ สร้างความไว้วางใจ และเปลี่ยนศักยภาพให้เป็นโอกาสแห่งความร่วมมือ

พร้อมเสนอให้เอเปคมุ่งเน้น 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ รักษาการเปิดกว้างของตลาด การขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน และการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในช่วงที่แนวโน้มกีดกันทางการค้าและความตึงเครียดทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เอเปคควรยึดมั่นในระบบพหุภาคีและกลไกการค้าเสรีบนพื้นฐานของกติกา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่ง “เอเปคจะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อสร้างสะพานแห่งความร่วมมือ ไม่ใช่กำแพงแห่งความแตกแยก และเอเปคได้ร่วมกันเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นความก้าวหน้าร่วมกัน

นายกรัฐมนตรี ยังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระราชาธิบดีฮาจี ฮัซซานัล บลเกียะฮ์ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีความใกล้ชิดมายาวนาน โดยด้านการค้าและการลงทุน ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องผลักดันการสรุปแผนการลงทุนร่วมระหว่างกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) ของไทย กับกองทุนร่วมของ Brunei Investment Agency (BIA) พร้อมร่วมยินดีที่ความตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Double Taxation Agreement) มีความพร้อมสำหรับการลงนามแล้ว ไทยต้องการเพิ่มพูนความร่วมมือกับบรูไนให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการส่งเสริมสุขภาวะครบวงจร

ด้านความมั่นคงทางอาหารและฮาลาล ไทยพร้อมเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ของบรูไน ในการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยไทยมีความพร้อมที่จะส่งออกสินค้าเกษตรไปยังบรูไนมากขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ ซึ่งราคาเป็นมิตร และคุณภาพไม่เป็นรองใคร และขยายความร่วมมือด้านผลิตภัณฑ์ฮาลาลให้ครอบคลุม โดยทั้ง 2 ฝ่ายยังพร้อมสานต่อความร่วมมือทวิภาคีโดยเฉพาะความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน การพัฒนาอย่างยั่งยืน การพัฒนามนุษย์ และสาธารณสุข

รัฐบาลไทยแสดงความพร้อมที่จะรับเสด็จสมเด็จพระราชาธิบดีในโอกาสการเสด็จฯ เยือนไทยเพื่อทอดพระเนตรการแข่งขันซีเกมส์ ด้วย

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ได้หารือทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน  
ซึ่งได้แสดงความยินดีกับความสำเร็จของการประชุม Fourth Plenum ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 4 ซึ่งได้วางแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจจีนในระยะ 5 ปีข้างหน้า พร้อมย้ำว่าปี 2568 ถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ซึ่งเป็นจังหวะสำคัญในการร่วมกำหนดวิสัยทัศน์ใหม่เพื่ออนาคตที่ปลอดภัยและรุ่งเรืองร่วมกัน

ด้านนายสี จิ้นผิง ยืนยันพร้อมผลักดันความร่วมมือกับไทยในทุกมิติ ทั้งการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการเชื่อมโยงระดับประชาชน ขณะที่ นายกรัฐมนตรีเห็นถึงศักยภาพในการขยายความร่วมมือด้านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงเศรษฐกิจดิจิทัล พลังงานสะอาด และเกษตรเพื่ออนาคต และชื่นชมความจริงจังของนายสี จิ้นผิง ที่ให้คำมั่นกับไทยในการร่วมกันปราบปรามภัยไซเบอร์ (Cyber crime) ถือว่าเป็นอาชญากรรมทั้งทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ ซึ่งไทยถือเป็นวาระแห่งชาติและจะระดมความร่วมมือจากภูมิภาคเพื่อป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

สำหรับความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง ไทยกล่าวถึงความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟไทย-จีน รวมถึง โครงการสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 2 (หนองคาย–เวียงจันทน์) เพื่อเชื่อมต่อรถไฟไทย-ลาว-จีน ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมโยงระบบรางกับจีน ทำให้สินค้าสามารถเดินทางไปและกลับตั้งแต่จีนตอนล่างไปจนถึงแหลมมาลายู นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้กาสิโน มาเป็นเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเชื่อมั่นว่าด้วยความสามารถของคนไทย ผลิตภัณฑ์ไทย สินค้าไทย รวมทั้งเทคโนโลยีที่ไทยมีอยู่ ไทยมีทางเลือกอื่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ดีขึ้น จึงได้หยุดการนำเสนอกฎหมายการพนันทุกชนิดและขอเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาเที่ยวอีกครั้ง โดยรัฐบาลจะดูแลความปลอดภัยอย่างดี

ซึ่งนายสี จิ้นผิง ได้กล่าว ชื่นชมนโยบายไทยและย้ำว่าไม่คิดแทรกแซงการดำเนินนโยบายภายในของประเทศใด ๆ แต่จะใช้มาตรการภายในของตนเอง ในการหยุดยั้งไม่ให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเพื่อท่องเที่ยวกาสิโนเท่านั้น เพราะจีนเห็นว่าธุรกิจการพนันมีผลเสียอย่างมากต่อวิถีชีวิตของคน ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำถึงนโยบายรัฐบาลชุดนี้และความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ ที่ไม่ต้องการมีการพนันที่ถูกกฎหมายเช่นกัน   พร้อมทั้งได้ใช้โอกาสนี้ ติดตามการเจรจา การซื้อข้าวไทยจำนวน 500,000 ตัน ซึ่งคณะเจรจาได้ทำงานมาระดับหนึ่ง ขณะที่จีนบริโภคข้าวทั้งประเทศเกือบ 150 ล้านตัน เชื่อว่ามีแนวโน้มในทางที่ดี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง