ติดตามความคืบหน้าโครงการทางเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ มุ่งผลักดัน “วงแหวนเมืองหาดใหญ่” ให้เกิดขึ้นจริงใน 5 ปี

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดสงขลา เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 425 “สายทางเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ (ด้านตะวันออก)” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรในเขตเมืองหาดใหญ่ และเพิ่มความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน

วงแหวนเมืองหาดใหญ่ คือความหวังของคนสงขลา เราจะทำให้เกิดขึ้นจริง เพราะนี่คือสิ่งที่ชาวหาดใหญ่รอคอยมากว่า 10 ปี เมืองใหญ่ของประเทศมีวงแหวนหมดแล้ว แต่หาดใหญ่ยังไม่มีแม้แต่ครึ่งวง ถึงเวลาที่เราจะต้องสร้างให้สำเร็จ

โครงการทางเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ (ด้านตะวันออก) ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “โครงข่ายวงแหวนรอบเมืองหาดใหญ่ (Outer Ring Road)” ระยะทางรวมกว่า 66.84 กิโลเมตร แบ่งเป็น
– ด้านตะวันออก ระยะทาง 31.33 กิโลเมตร เริ่มจากบ้านทุ่งน้า ผ่านถนนหมายเลข 407, 43, 4 ถึงทางเข้าสนามบินหาดใหญ่
– ด้านตะวันตก ระยะทาง 35.51 กิโลเมตร เชื่อมโครงข่ายทางหลวงหลักและทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสาย M84 (หาดใหญ่–ชายแดนไทย/มาเลเซีย)

ขณะนี้งานก่อสร้างได้เริ่มแล้ว บริเวณกิโลเมตรที่ 24+153 ถึง 31+335 ฝั่งซ้ายทาง มีความคืบหน้าแล้วกว่า 45.79% โดยเชื่อมระหว่างทางหลวงหมายเลข 4 กับทางหลวงหมายเลข 4135 หน้าทางเข้าสนามบินหาดใหญ่

นายพิพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จะนำเรื่องงบประมาณเข้าสู่การหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เนื่องจากโครงการนี้ไม่สามารถใช้เงินกู้ได้ แต่จะเร่งหาทางออกให้สามารถเดินหน้าได้โดยไม่ต้องรออีกสิบปี ตั้งเป้าให้โครงการแล้วเสร็จภายใน 5 ปี เพื่อให้หาดใหญ่มีวงแหวนเมืองของตนเอง พร้อมย้ำว่า โครงการนี้จะช่วยลดการจราจรติดขัดในเขตเมืองลงกว่า 30% และเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจภาคใต้ตอนล่างอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ได้ลงพื้นที่ติดตามโครงการทางหลวงชนบทสาย สข.2075 (แยกทางหลวงหมายเลข 43 – บ้านพรุ) อำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา ระยะทางกว่า 7.3 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยกระจายการจราจรจากตัวเมืองหาดใหญ่และเชื่อมเข้าสู่สนามบินนานาชาติหาดใหญ่ โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือนเมษายน 2569

โครงการดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขังในฤดูฝน เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในพื้นที่ พร้อมกันนี้ นายพิพัฒน์ได้กล่าวขอบคุณภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ ที่ร่วมสนับสนุนและบริจาคที่ดินเพื่อใช้ในโครงการ รวมถึงผู้ประกอบการที่เปิดพื้นที่ให้ขยายถนนและทางเชื่อม ซึ่งถือเป็น “พลังของประชาชน” ที่ช่วยให้โครงการสาธารณประโยชน์เดินหน้าได้รวดเร็วและเป็นรูปธรรม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง