ไทย-กัมพูชา เตรียมสำรวจเพื่อวางหมุดชั่วคราวบ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว 17 พ.ย. 68 ยืนยันไม่กระทบสิทธิ์เขตแดน

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นายเบญจมินทร์ สุกาญจนัจที อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ  แถลงความคืบหน้าจากผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรี และ นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (Joint Declaration) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า การแถลงข่าวครั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชน การดำเนินการใดๆ ที่จะเกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชาหลังจากนี้จะเป็นเรื่องที่ถูกสังคมโลกจับตามอง สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ ไทยและกัมพูชามีพื้นที่ติดกัน เราไม่ได้ลืมความเจ็บแค้น แต่เรากำลังพูดถึงเมื่อมีแผ่นดินที่ติดกัน และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้แนวทางการปฏิบัติต่อกันระหว่างไทยและกัมพูชาจะเป็นอย่างไร ซึ่งเรายืนยันใน 4 ข้อหลัก คือ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบสแกมเมอร์ และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน และยังได้มีการลงนามในเอกสารเพิ่มเติมคือ ถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 (Joint Declaration)  ว่าไทยและกัมพูชาจะดำเนินการอย่างไรต่อกัน พร้อมย้ำว่า ประเทศไม่สามารถเดินหน้าได้ด้วยข่าวลือ แต่ประเทศจะเดินหน้าด้วยข้อเท็จจริง ซึ่งการดำเนินงานนั้นรัฐบาล มีการประสานพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวทางกับกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด

ทั้งนี้รัฐบาลมีความมุ่งมั่นตั้งใจ จะนำความสงบสุขกลับมาคืนสู่คนไทยทุกคนในประเทศ โดยยึดหลักไม่เสียดินแดน ไม่เสียอธิปไตย แม้แต่ตารางเซ็นติเมตรเดียว ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าไม่มีดินแดนไทยส่วนไหนที่สูญเสียให้กัมพูชา และไม่เกิดความสูญเสียชีวิต หรืออวัยวะของทหารผู้เสียสละจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และที่สำคัญที่สุดเราไม่เห็นเลือดของประชาชนที่ต้องไหลลงผืนดินไทย ส่วนกรณีทหารกัมพูชา 18 นาย ที่ถูกไทยควบคุมตัว เป็น 1 ในข้อเรียกร้องของกัมพูชา แต่ตามข้อตกลงกระบวนการเหล่านี้จะเริ่มต้นต่อเมื่อกัมพูชาดำเนินการตาม 4 ข้ออย่างจริงใจ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินการดำเนินการของกัมพูชาว่าเป็นไปตามข้อตกลงทั้ง 4 ข้อหรือไม่ ส่วนพื้นที่ปราสาทตาควาย และพื้นที่อื่นที่ยังมีปัญหารัฐบาลต้องใช้แนวทางสันติวิธีคือการเจรจา แต่แนวทางการปักปันเขตแดนในกรณีที่ยังเป็นปัญหาอยู่ต้องพูดคุยกันในระดับทวิภาคีซึ่งหมายรวมไปถึงทุกพื้นที่ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน และยังไม่มีกรอบเวลา ซึ่งจะเน้นทำใน 4 ประเด็นใหญ่ก่อน

ด้านพลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวว่า การถอนอาวุธหนัก มีการเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับข้อกำหนดขอบเขตการปฏิบัติ หรือ TOR เพื่อจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงร่วมกันในการดำเนินการถอนอาวุธหนักเป็นระยะ โดยแบ่งอาวุธหนักเป็น 3 ประเภท กำหนดช่วงเวลาถอน 3 ช่วง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2568 คาดว่าจะถอนอาวุธดังกล่าวเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ ยืนยันว่า เป็นเพียงการถอนอาวุธหนัก แต่กองกำลังป้องกันชายแดนที่มีการวางกำลังอยู่ในพื้นที่เดิมนั้นไม่มีการถอน เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดน จะปฏิบัติหน้าที่เช่นเดิม ขอให้ความมั่นใจว่าเรายังปกป้องอธิปไตยของชาติของประเทศไทยต่อเนื่อง ไม่มีการถอนกำลังพล ถอนขีดความสามารถของเราตามแนวชายแดน ซึ่งจะมีกลไกการตรวจสอบการถอนอาวุธจาก  AOT เป็นตัวกำกับ เพื่อให้รายงานไปยังหน่วยขึ้นตรง หากมีปัญหาใดๆ ทั้ง 2 ฝ่ายจะรายงานไปที่ฝ่าย AOT เพื่อให้สร้างแรงกดดันไปยังอีกฝั่ง

ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ถือเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งชุดประสานงานร่วมเฉพาะกิจ (Joint Coordinating Task Forces : JCTF) เพื่อประสานงานในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และจัดทำมาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติงานในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยฝ่ายไทยเสนอพื้นที่นำร่องในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด 13 พื้นที่ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้เสนอพื้นที่ใดๆ ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเสนอมาเพียง 1 พื้นที่เท่านั้น โดยทั้ง 13 พื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ผ่านมาได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้วและอย่างที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีการขัดขวางจากทางกัมพูชาบ้าง แต่เรามีกลไกในการเจรจาและพูดคุยเพื่อให้บรรลุในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ย้ำว่า 13 พื้นที่ปฏิบัติการ ที่มีข้อตกลงกับกัมพูชาลักษณะการทำงานนั้นจะแบ่งงานว่าอธิปไตยของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นเป็นผู้เก็บกู้ถือว่ามีความคืบหน้าไปบ้าง และไทยจะดำเนินการต่อไปเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

ขณะที่การปราบปรามสแกมเมอร์ได้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วม (Joint Task Force) มีแผนปฏิบัติการในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ ซึ่งขณะนี้มีการจัดส่งรายชื่อ และจัดตั้งคณะขึ้นเรียบร้อยแล้ว

นายเบญจมินทร์ กล่าวว่า จากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ เมื่อวันที่ 21-22 ตุลาคม 2568 ที่จังหวัดจันทบุรี แบ่งได้เป็น 3 ประเด็น คือ 1. การซ่อมแซมหลักเขตแดนเดิมที่เสียหาย ที่เห็นตรงกันแล้ว 2. การแก้ไข TOR ปี 2003 และนําเทคโนโลยี LiDAR มาช่วยจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศภายในสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม 2568 3. เห็นพ้องกระบวนการสํารวจและจัดหมุดชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน หลักเขตที่ 42-47 ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนและให้หน่วยงานท้องถิ่นจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หวังว่าจะมีส่วนช่วยในการลดความกระทบกระทั่งและความขัดแย้งในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาอยู่ระหว่างร่างคำแนะนำทางเทคนิคในการสํารวจหลักเขตแดนชั่วคราวบริเวณเร่งด่วน ส่วนฝ่ายไทยได้จัดทําร่างและเสนอไปแล้ว อยู่ระหว่างรอคําตอบในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 และจะเริ่มสำรวจเพื่อวางหลักเขตแดนชั่วคราวในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ทั้งนี้จะเริ่มสำรวจหลักเขตแดนที่ 42-43 ก่อน จากนั้นจะสำรวจหลักที่ 46-47 และหลักที่ 43-46 เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายดำเนินการแล้วจะนำผลการสำรวจเสนอให้รัฐบาลแต่ละฝ่ายเห็นชอบ
เพื่อกำหนดกลไกที่เหมาะสมสำหรับการปรับการถือครองที่ดินทั้ง 2 ฝ่ายต่อไป ยืนยันว่าการวางหลักเขตแดนชั่วคราว เพื่อการสํารวจเท่านั้นไม่ได้กระทบต่อสิทธิ์เขตแดนทางบกของไทยและกัมพูชา ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) ไทย – กัมพูชา อีกครั้งช่วงต้นเดือนมกราคม 2569 เพื่อติดตามความคืบหน้าที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ดำเนินการ

ขณะที่ด้านการปราบปรามสแกมเมอร์ พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการอย่างต่อเนื่อง นอกจากปราบปรามอย่างเข้มงวดยังได้ประสานความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติไปแล้ว โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับไทย และมีการประสานความร่วมมือกับกัมพูชาตั้งแต่ปี 2564

โดยมีทั้งคนไทยที่ไปทำงานด้วยความสมัครใจและถูกบังคับ นอกจากนี้ไทยและกัมพูชา ยังมีแผนปฏิบัติการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ประกอบด้วย การหลอกลวงทางไซเบอร์ และการค้ามนุษย์ ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยและกัมพูชา มีการกำหนดแผนดำเนินงานร่วมกัน ทั้งการแบ่งปันข่าวกรองร่วมกัน แลกเปลี่ยนรายชื่อข้อมูลผู้ต้องสงสัย การปฏิบัติการพร้อมกันทั้ง 2 ประเทศหากพบว่ามีการสั่งการข้ามแดน การส่งกลับผู้ต้องสงสัยและเหยื่อ การประชุมติดตามผลอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้แผนปฏิบัติการดังกล่าว มีระยะเวลาการบังคับใช้ 2 ปี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง