ครม.เศรษฐกิจ เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบผ่อนปรนเพื่อลดภาระหนี้ สำหรับลูกหนี้รายย่อย ที่มีหนี้รวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ  (กนศ.) ครั้งที่ 3/2568 โดยมีคณะรัฐมนตรี อาทิ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าร่วมการประชุม ASEAN และ APEC ประเทศไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยมีเรื่องสำคัญที่ต้องสานต่อจำนวนมาก และได้ย้ำให้ประเทศต่างๆ ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้ดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจแบบ “Quick Big Win” เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงพาณิชย์ ได้หารือกับผู้นำหลายประเทศในเรื่องการขยายตลาด การส่งออกพืชผลทางการเกษตร และการผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้สำเร็จเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด พร้อมขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีเอกนิติ ที่ได้ดำเนินนโยบาย “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งสร้างกำลังใจให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เมื่อลงพื้นที่ไปที่ไหนก็ได้รับเสียงสะท้อนว่าประชาชนมีความสุขและดีใจที่ได้ใช้สิทธิ                 คนละครึ่ง พลัส เป็นการสร้างความคึกคักเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ทำให้เม็ดเงินกระจายไปในทั่วประเทศ

นายกรัฐมนตรี ฝากคณะทำงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการแก้ไขปัญหาการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ต้องดำเนินการให้ครอบคลุมและทั่วถึง เนื่องจากระบบที่เป็นลักษณะ “first come, first serve” ทำให้ยังมีกลุ่มเปราะบางจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ ต้องรวบรวมกลุ่มประชาชนที่ตกหล่นจากครั้งแรกกลับมาในเฟสสองให้ได้รับการดูแลจากรัฐบาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอฝากกระทรวงมหาดไทย ประสานความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ลงไปถึงระดับอำเภอ เพื่อช่วยเหลือ แนะนำ และอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบและใช้สิทธิได้อย่างทั่วถึง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัด “หน่วยเคลื่อนที่    ครบวงจร” เพื่อขยายฐานร้านค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และขอให้กระทรวงพาณิชย์ติดตาม กำกับ และดำเนินคดี อย่างเด็ดขาดกับร้านค้าที่ทุจริต รับแลกเงิน หรือขึ้นราคาสินค้า ซึ่งรวมถึงชุดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขอให้ช่วยในการสื่อสารและประชาสัมพันธ์โครงการให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้น และขอให้ดูแลหน่วยงานในกำกับ ให้ดำเนินการตามมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่าย (Front Load) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่เศรษฐกิจ และนำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ เรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดียิ่ง ขอบคุณทางกระทรวงพลังงานที่เร่งพิจารณาแผนงานเหล่านี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ขอให้เร่งดำเนินการต่อไป และขอให้ทุกกระทรวงบูรณาการร่วมมือกัน

โอกาสนี้ ที่ประชุมได้รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจครั้งที่ 2 เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 และรับทราบรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล พร้อมกันนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณา ดังต่อไปนี้

1. โครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company – AMC) โดยมีเป้าหมายหลักในการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว และมีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น

โดยนายเอกนิติ  นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในส่วนของการประชุมหารือโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ซึ่งเป็นไปตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยกำหนดให้ “การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชน” เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่จะต้องมีการแก้ไขโดยเร็ว เนื่องจากรัฐบาลได้พบว่า ปัจจุบันมีลูกหนี้รายย่อยบางส่วนกำลังประสบปัญหา ทั้งการมีภาระหนี้สูงโดยเฉพาะหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน การผ่อนชำระหนี้ไม่ไหวจนกลายเป็นหนี้ค้างชำระการที่ลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายรายทำให้ถูกทวงหนี้จากเจ้าหนี้หลายแห่ง และทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถขอสินเชื่อเพิ่มเติมได้

ดังนั้น กระทรวงการคลังได้ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย และภาคสถาบันการเงิน จัดทำโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ขึ้น โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยที่มีภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans: NPLs) เพื่อผ่อนภาระให้กับลูกหนี้ ช่วยให้ลูกหนี้สามารถปิดจบหนี้ หลุดพ้นจากสถานะการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้โดยเร็ว และ มีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอนาคต ซึ่งจะเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม และจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตได้ในระยะยาวต่อไป 

การแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนในครั้งนี้ มุ่งแก้ไขปัญหาให้กับลูกหนี้ซึ่งเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน โดยในเบื้องต้นมีลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายที่มีภาระหนี้ NPLs ของทุกประเภทสินเชื่อกับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกัน  ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 จำนวนประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี เป็นภาระหนี้จำนวนประมาณ 122,000 ล้านบาท โดยมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือได้ ดังนี้

กลุ่มที่ 1 การดำเนินการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)

ลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของ ธพ. และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) จะได้รับการช่วยเหลือผ่านกลไกการขายและโอนหนี้ให้กับ AMC ที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) และกำหนดให้ AMC นำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ผ่อนปรนและเหมาะกับความสามารถของคนกลุ่มนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมการจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี เป็นต้น

กลุ่มที่ 2 การช่วยเหลือเพิ่มเติมโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ดำเนินการเอง

SFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นมาตรการเฉพาะของแต่ละธนาคาร เพื่อบริหารจัดการหนี้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ SFIs เนื่องจากลูกหนี้ของ SFIs กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของ ธพ. หรือได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐผ่านกลไกอื่นแล้ว ดังนั้น SFIs จะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น มาตรการชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี ลดเงินต้นยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ       เป็นต้น

การดำเนินการในสองส่วนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้ภาครัฐมีโครงการเพื่อช่วยลูกหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และช่วยเหลือลูกหนี้ให้หลุดพ้นจากภาระหนี้ต่าง ๆ ได้โดยเร็ว ซึ่งในการดำเนินการทั้งสอง ส่วนนี้คาดว่ามีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้นประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท นอกจากนี้ ในระยะต่อไปจะมีการพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้

ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-banks ตามหลักการเดียวกัน เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทั้งหมด

จากการดำเนินโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC ในครั้งนี้ รัฐบาลมั่นใจว่า จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประชาชนรายย่อยซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาภาระหนี้จนกระทบต่อเนื่องเป็นปัญหาชีวิตและปัญหาสังคมและเศรษฐกิจในภาพรวม สามารถมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผ่านกลไกการให้ความช่วยเหลือของ AMC ได้รับการปรับโครงหนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรนและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ลูกหนี้สามารถผ่อนชำระหนี้ได้จนกลับมาเป็นลูกหนี้ที่มีประวัติชำระปกติมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ในอนาคต ไม่ต้องพึ่งพิงสินเชื่อนอกระบบที่อาจมีอัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้โดยเร็วและยั่งยืน และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศต่อไปได้ในอนาคต

โดยคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ เห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินโครงการฯ และนำเสนอโครงการฯ เพื่อคณะรัฐมนตรีรับทราบหลักการและแนวทางการดำเนินโครงการดังกล่าว เพื่อกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันแนวทางการดำเนินโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

2. แนวทาง มาตรการ และโครงการของกระทรวงพาณิชย์ภายใต้นโยบาย Quick Big Win เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์ ในการรับมือกับมาตรการภาษี Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ โดยสามารถรักษาตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ สกัดปัญหาการสวมสิทธิถิ่นกำเนิดสินค้า เพิ่มการใช้ Local content ตลอดจนป้องกันและปราบปรามสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย กระทรวงพาณิชย์จึงได้จัดทำแนวทางและมาตรการ ได้แก่

  • โครงการเพิ่ม LOCAL CONTENT ไทย เพื่อรองรับการปรับปรุงกฎถิ่นกำเนิดสินค้าใหม่ของสหรัฐฯ และรักษาความเชื่อมั่นต่อสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ
  • มาตรการตรวจสอบนิติบุคคล (นอมินี) ทั้งนี้ ปัญหานอมินีส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศ แต่การตรวจสอบมีข้อจำกัดต้องการการบูรณาการ เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถที่หน่วยงานต้นทางในการตรวจสอบ

โดยคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ เห็นชอบในหลักการแนวทางการดำเนินการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและการป้องกันการสวมสิทธิ และเห็นชอบในหลักการมาตรการตรวจสอบนิติบุคคล และมอบหมายกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นผู้ประสานการบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง