นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมรับมือกับสถานการณ์พายุคัลแมกีที่กำลังจะเข้ามา ในช่วงวันที่ 6-8 พ.ย.นี้ ซึ่งจากคาดการณ์จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณพื้นที่ภาคอีสานแต่จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากแม่น้ำชีและแม่น้ำมูลยังมีพื้นที่เพียงพอในการรับปริมาณน้ำได้อีก หลังจากนั้นพายุจะเคลื่อนตัวไปสู่ภาคเหนือตอนล่าง บริเวณ จ.สุโขทัย กำแพงเพชร และนครสวรรค์ ที่อาจส่งผลให้แม่น้ำปิงมีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำปิง วัง ยม น่าน และเจ้าพระยา ที่ปัจจุบันสถานการณ์อุทกภัยยังคงน่าเป็นห่วงจากอิทธิพลของพายุ 6 ลูกที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันปริมาณน้ำในเขื่อน มีปริมาณมากเกือบ 100% ในหลายๆ เขื่อน โดยเฉพาะเขื่อนขนาดใหญ่ ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนอุบลรัตน์ ซึ่งอยู่ในแนวพื้นที่รับฝนจากพายุ “คัลแมกี” จึงทำให้ทุกหน่วยงานต้องวางแผนพร่องระบายน้ำจากแต่ละเขื่อนอย่างรอบคอบรัดกุม เพื่อรักษาความปลอดภัยตัวเขื่อนและต้องไม่ส่งผลกระทบพื้นที่ท้ายน้ำโดยวันที่ 5 พ.ย. 68 กรมชลประทาน ปรับเพิ่มการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาเป็น 2,500 ลบ.ม.ต่อวินาที โดยจะผันน้ำเข้าระบบชลประทาน ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา และหน่วงเก็บกักน้ำในทุ่งรับน้ำที่พอจะมีศักยภาพรับน้ำเพิ่มเติม โดยไม่ให้ซ้ำเติมผลกระทบกับประชาชน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำถึง 2,700 ลบ.ม./วินาที กรมชลประทานจะประสาน สทนช. เพื่อทำหนังสือเสนอ กนช. พิจารณาต่อไป
ในส่วนการเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ได้กำชับกระทรวงมหาดไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานผู้ว่าราชการจังหวัด ในการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ ผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ในพื้นที่ 65 จังหวัด 685,554 ครัวเรือน จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 6,169.986 ล้านบาท ในอัตราเดียวครัวเรือนละ 9,000 บาท ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 68 โดยเร็ว เนื่องจากการดำเนินการโอนเงินให้กับประชาชนทำได้เพียง 11% จึงขอให้เร่งโอนเงินเยียวยาให้กับผู้ประสบอุทกภัยให้แล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้สั่งการให้ที่ประชุมหาแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ท่วมขังเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน และที่อยู่ในพื้นที่ท่วมขังเกินกว่า 60 วัน และหลังจากพายุ “คัลแมกี” ผ่านไปแล้ว จะต้องเตรียมรับมือสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ต่อไป
ซึ่งขณะนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และธนาคารออมสิน ได้โอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 แล้ว 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 68 จำนวน 67,050 ครัวเรือน เป็นเงิน 603 ล้านบาท และครั้งที่ 2 วันที่ 4 พ.ย. 68 จำนวน 12,702 ครัวเรือน เป็นเงิน 114 ล้านบาท โดยจะโอนครั้งที่ 3 วันที่ 6 พ.ย. 68 ให้กับประชาชนในพื้นที่ จ.กระบี่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย ปทุมธานี เลย เชียงใหม่ อ่างทอง จันทบุรี และระนอง จำนวน 16,399 ครัวเรือน และครั้งที่ 4 วันที่ 7 พ.ย. 68 ได้แก่ จ.ลำปาง สิงห์บุรี พระนครศรีอยุธยา จันทบุรี เชียงราย และนครสวรรค์ จำนวน 19,214 ครัวเรือน
อีกทั้ง กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนพายุ “คัลแมกี” ในช่วงวันที่ 7–9 พ.ย. 68 จะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยจะเริ่มจากบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือ อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง สำหรับเกษตรกรขอให้เตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร
สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งช่วงวันที่ 5–7 พ.ย. 68 โดยสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์ กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือ
โทร. 0-2399-4012-13 และสายด่วน 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ได้ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศ พบว่า จะมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณประเทศไทยตอนบนและภาคใต้ มีพื้นที่เสี่ยงต้องเฝ้าระวังในช่วงวันที่ 7–10 พ.ย. 68 ดังนี้
1. พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง ดังนี้
ภาคเหนือ บริเวณ จ.เชียงใหม่ ลำปาง สุโขทัย ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร พิจิตร
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณ จ.เลย บึงกาฬ นครพนม ขอนแก่น ชัยภูมิ บุรีรัมย์
ภาคตะวันออก บริเวณ จ.ปราจีนบุรี ตราด
ภาคตะวันตก บริเวณ จ.กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์
ภาคใต้ บริเวณ จ.ชุมพร ระนอง นราธิวาส
2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุเก็บกักบริเวณ จ.เชียงใหม่ ลำปาง น่าน แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก ตาก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ อุทัยธานี เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลำภู ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น มหาสารคาม มุกดาหาร ร้อยเอ็ด นครราชสีมา ยโสธร อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี นครนายก ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สระแก้ว ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด กาญจนบุรี ราชบุรี ระนอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ ภูเก็ต และอ่างเก็บน้ำที่มีสถิติปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมากกว่าความจุเก็บกัก ซึ่งอาจมีความเสี่ยงน้ำล้นอ่างฯ และส่งผลกระทบให้น้ำท่วมบริเวณด้านท้ายน้ำ
เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
1. ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในช่วง 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ
2. ติดตาม ตรวจสอบ ซ่อมแซม แนวคันบริเวณริมแม่น้ำ และเร่งกำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมวางแผนการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม รวมถึงเขื่อนระบายน้ำและประตูระบายน้ำ ให้สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และอิทธิพลของการขึ้น – ลง ของน้ำทะเล
3. เตรียมแผนรองรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ ลอกท่อระบายน้ำ และบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือได้ทันที
4. ประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำ และแจ้งเตือนล่วงหน้า ให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมในการอพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์
สำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ในระยะนี้ขอให้ติดตามสภาพอากาศ ประกาศการแจ้งเตือนภัย สถานการณ์น้ำในพื้นที่ และข่าวสารจากทางราชการอย่างต่อเนื่อง และเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น โดยสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” และขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784” และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือ








