นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” ระหว่างกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน โดยมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ผู้แทนจากโรงพยาบาล และตัวแทนร้านขายยาทั่วประเทศ ร่วมงาน
นายอนุทิน กล่าวเปิดโครงการว่า การจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นสักขีพยานในการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุขครั้งสำคัญของประเทศไทย ถือเป็นการปรับเปลี่ยนแนวทางการให้บริการทางการแพทย์ครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับงานด้านสาธารณสุขของประเทศ ที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับสุขภาพของประชาชน ปัจจุบันโรงพยาบาลรัฐมีผู้ป่วยไปรอรับการรักษาจำนวนมาก ในขณะที่การไปใช้บริการที่โรงพยาบาลเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่ายาและค่าเวชภัณฑ์ รัฐบาลมีนโยบาย Quick Big Win ที่ต้องการลดค่าครองชีพของประชาชนในทุกมิติ จึงได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงสาธารณสุข หาแนวทางแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ด้านการรักษาพยาบาล โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน โดยเฉพาะสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ร่วมกัน
โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” เป็นหนึ่งใน Quick Big Win ที่เน้นกระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว โดยให้โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการเปิดเผยรายการยา และราคายา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้รับบริการที่โรงพยาบาลเอกชน ได้มีข้อมูลที่ชัดเจน สามารถตัดสินใจเลือกซื้อยาในโรงพยาบาล หรือร้านขายยานอกโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยได้ ทั้งนี้ ในภาพรวมจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้น และลดความแออัดในโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งมี 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการค้าภายใน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ที่ร่วมลงนาม MOU ด้วยกัน โดยจะช่วยผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการแสดงรายละเอียดในใบสั่งยาของโรงพยาบาลเอกชนอย่างถูกต้องและครบถ้วน โดยต้องแสดงรายการยา ข้อบ่งใช้ยา และราคายา เพื่อให้ผู้รับบริการมีข้อมูลสำหรับการตัดสินใจเพียงพอว่าจะเลือกซื้อยาในโรงพยาบาลเอกชน หรือจะนำใบสั่งยาไปซื้อยาที่ร้านขายยานอกโรงพยาบาล
ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนสมัครใจเข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 300 แห่ง และมีร้านขายยามากกว่า 3,400 แห่งลงทะเบียนกับทาง อย. และมีตราสัญลักษณ์โครงการเตรียมพร้อมที่จะให้บริการแก่ประชาชนแล้ว นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถรับบริการผ่านช่องทาง เภสัชกรรมทางไกล หรือ “เทเลฟาร์มาซี” ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสภาเภสัชกรรมได้ด้วย (เทเลฟาร์มาซี คือ การให้บริการทางเภสัชกรรมโดยใช้เทคโนโลยีสื่อสาร เช่น โทรศัพท์ วิดีโอคอล หรือแอปพลิเคชัน เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาและการดูแลจากเภสัชกรได้สะดวกขึ้น โดยไม่ต้องเดินทางไปที่ร้านยาโดยตรง บริการนี้ครอบคลุมตั้งแต่การให้คำปรึกษา การตรวจสอบใบสั่งยา การติดตามการใช้ยา และการอนุมัติการจ่ายยา)
สำหรับโรงพยาบาลเอกชนจากสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 300 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลในเครือ BDMS โรงพยาบาลธนบุรี เครือบางปะกอก-ปิยะเวช เครือรามคำแหง-วิภาราม
เครือจุฬารัตน์ เครือนวมินทร์ เครือสินแพทย์ โรงพยาบาลหัวเฉียว โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลบีแคร์
นโยบายนี้จะทำให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมด้านราคาและมั่นใจได้ว่า ได้ซื้อยาจากร้านขายยาที่มีคุณภาพมาตรฐาน ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงบริการสุขภาพที่คุ้มค่าและลดภาระค่าครองชีพได้จริง คาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพของประชาชนได้ไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี และยังเป็นการพัฒนาและยกระดับการบริการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น
จึงขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนโครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” และทำให้เกิด MOU นี้ขึ้น โดยรัฐบาลเชื่อมั่นว่าการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ และสมาคมโรงพยาบาลเอกชนในครั้งนี้จะทำให้การสาธารณสุขของประเทศ เป็นการให้บริการที่เข้าถึงคนไทยทุกคน และสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวต่างชาติและนักลงทุนซึ่งเป็น การยกระดับการพัฒนาระบบสุขภาพและอุตสาหกรรมทางการแพทย์ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง ทั้งนี้ ภายหลังพิธีลงนาม นายกรัฐมนตรี และคณะได้เยี่ยมชมนิทรรศการโรงพยาบาลเอกชนและร้านขายยา ณ บริเวณโถงกลาง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เพื่อร่วมทดลองใช้บริการการรับยาภายในโรงพยาบาล ภายใต้โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า”








