ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 ของประเทศไทย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ ซึ่งเป็นกรอบเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2574 –2578) เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) และความตกลงปารีส (Paris Agreement) ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข NDC 3.0 ของประเทศไทย ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีอีก
ที่ผ่านมาประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคีในกรอบอนุสัญญา UNFCCC และความตกลงปารีส ซึ่งข้อ 4 ของความตกลงปารีสกำหนดให้ภาคีต้องจัดทำ NDC อย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยได้จัดส่ง NDC ต่อสำนักเลขาธิการ UNFCCC มาแล้ว 2 ฉบับ คือ NDC 2.0 ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการสิ้นสุดใน ปี 2573 และ NDC 3.0 ซึ่งมีกำหนดเป้าหมายการดำเนินการ 5 ปี ระหว่างปี 2574 – 2578 (เป็นการดำเนินการต่อเนื่องจาก NDC 2.0 ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการสิ้นสุด ณ ปี 2573)
ทั้งนี้ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมได้จัดประชุมหารือ ในประเด็นเป้าหมายการ
ลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ภายใต้ NDC 3.0 ร่วมกับหน่วยงานรับผิดชอบหลักรายสาขา 5 สาขา ได้แก่ สาขาพลังงาน (รวมภาคคมนาคมขนส่ง) สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ สาขาเกษตร สาขาของเสีย และสาขาป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และ พ.ศ. 2568 และได้จัดประชุมชี้แจงเป้าหมาย แนวทาง และมาตรการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย ภายใต้ NDC 3.0 และรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ซึ่งได้ข้อสรุปว่าประเทศไทยจะยกระดับการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก โดยแบ่งสัดส่วนเป็นการลดก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินการเองภายในประเทศ (Unconditional target) คิดเป็นร้อยละ 70 ของค่าเป้าหมาย และที่ต้องการขอรับสนับสนุนจากต่างประเทศ (Conditional target) อีกร้อยละ 30 ของค่าเป้าหมาย โดยในปี 2578 ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิที่ระดับไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
สำหรับประโยชน์และผลกระทบนั้น (ร่าง) NDC 3.0 ของประเทศไทย เป็นการยืนยันความมุ่งมั่นต่อประชาคมโลกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีส กำหนดทิศทางการดำเนินงานและบูรณาการนโยบายกับแผนด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศเพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ตลอดจนคงไว้ซึ่งขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงดึงดูดการลงทุนและความร่วมมือจากต่างประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืน
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ถือเป็นก้าวสำคัญในการเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้น 15 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับ 1.5ºC Pathway ตามนโยบายของรัฐบาล ข้อ 13 การผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำของรัฐบาล โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ (Economy-wide) ณ ปี ค.ศ. 2035 (พ.ศ. 2578) และเร่งเพิ่มเป้าหมายการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกในภาคป่าไม้และการใช้ประโยชนที่ดิน (LULUCF) ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือลดลงร้อยละ 47 จากระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี ค.ศ. 2019 รวมถึงได้จัดทำแผนการลงทุนเพื่อดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ 230,000 ล้านบาท ในการสนับสนุนไทยลดก๊าซเรือนกระจก 32.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตามเงื่อนไขของความตกลงปารีส
ทั้งนี้ เน้นย้ำว่าการยกระดับเป้าหมาย NDC 3.0 เพื่อให้บรรลุตามนโยบายของรัฐบาล และจะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีแต้มต่อในเวทีโลก เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ มีศักยภาพดึงดูดการลงทุนสีเขียวและสร้างงานใหม่ ๆ ในภาคเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่การพัฒนาแบบปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (สส.) ได้จัดส่ง NDC 3.0 ในช่วงบ่ายของวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ต่อ UNFCCC และจะนำเสนอต่อที่ประชุม COP 30 (การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ค.ศ. 2025 (UNFCCC COP 30)) ระหว่างวันที่ 6 – 21 พฤศจิกายน 2568 ณ เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล เพื่อประกาศความมุ่งมั่นของไทยในเวทีโลกอย่างเป็นทางการ รวมถึงเร่งการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแปลงเป้าหมายสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับการเชื่อมโยงระบบติดตามผลแบบดิจิทัล (Digital Tracking) เพื่อให้การดำเนินงานมีความโปร่งใส รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพต่อไป








