นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า กรมอุทยานฯ จัดเก็บรายได้จากค่าธรรมเนียมการเข้าใช้บริการอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (ตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) ได้สูงถึง 2,208,128,028.86 บาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ถึง 8,399,101.87 บาท
ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติในการเดินทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และความสำเร็จของนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนภายใต้การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้เน้นย้ำมาตรการสำคัญ ได้แก่ การนำระบบ E-Ticket มาใช้ เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว โปร่งใส และลดการใช้กระดาษในการจัดเก็บค่าธรรมเนียม การปรับปรุงระบบจองที่พัก เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การดูแลความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก ทบทวนและวางแผนมาตรการเพื่อสร้างความมั่นใจและความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยว การยกระดับการบริการ มุ่งเน้นการให้บริการที่ได้มาตรฐานเพื่อความพึงพอใจควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรทางธรรมชาติ
ด้านอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ที่พึ่งเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวไปเมื่อเดือนตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา พบว่า ในเดือนตุลาคม 2568 อุทยานฯ สิมิลัน จัดเก็บรายได้รวม 11,069,800 บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่เก็บได้อยู่ที่ 9,925,150 บาท คิดเป็นการเติบโต 11.53% หรือเพิ่มขึ้นกว่า 1.14 ล้านบาท ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าเยี่ยมชมในเดือนนั้น มีทั้งสิ้น 23,578 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 285 คน หรือเติบโต 1.2%
เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งปีงบประมาณ 2568 อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน สามารถจัดเก็บรายได้รวม 77,125,658 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 7,120,180 บาท หรือเติบโต 8.45% มีจำนวนนักท่องเที่ยวรวมทั้งปีอยู่ที่ 780,044 คน เพิ่มขึ้น 57,336 คน หรือเติบโต 7.93% สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่ท่องเที่ยวควบคู่กับการอนุรักษ์
สำหรับอุทยานแห่งชาติที่สร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรก ในปีงบประมาณ 2568 ได้แก่
1. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี : 648,920,480 บาท
2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน : 197,258,000 บาท
3. อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ : 138,428,250 บาท
4. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ : 131,210,638 บาท
5. อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด : 121,542,460 บาท
6. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา : 115,150,150 บาท
7. อุทยานแห่งชาติเขาสก : 99,807,806 บาท
8. อุทยานแห่งชาติเอราวัณ : 93,746,395 บาท
9. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง : 45,391,920 บาท
10. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา : 37,879,350 บาท
นอกจากนี้ ทุกอุทยานฯ ทางทะเลได้ดำเนินกิจกรรมภายใต้ โครงการ “อนุรักษ์ ทะเล” ตามแนวพระราชดำริของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลไทยผ่านการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว รวมถึงให้กำหนดแนวทางการสำรวจทรัพยากรทางทะเลอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของสัตว์ทะเลหายากและการติดตามสถานการณ์ปะการังฟอกขาว เพื่อประเมินผลกระทบและวางแผนการฟื้นฟูอย่างยั่งยืน รวมถึงการจัดการขยะทะเลที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลและสัตว์ทะเลด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญอีกประการคือ ทุกอุทยานฯ ทั้งทางบกทางทะเลจะต้องดำเนินตามนโยบายเร่งด่วนของรองนายกฯ เรื่องการจัดการขยะ โดยเฉพาะขยะอาหาร (Zero Food Waste) เพื่อเป้าหมาย “ประเทศไทยไร้ขยะอาหาร” ซึ่งมีคำสั่งให้ทุกอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศจัดทำแผนปฏิบัติการกำจัดขยะ ในพื้นที่รับผิดชอบให้เป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพไปก่อนนี้แล้ว








