นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล แสดงวิสัยทัศน์ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ยืนยันทำงานตามสัญญา 4 เดือน มุ่งขับเคลื่อนนโยบาย Quick Big Win ฟื้นเศรษฐกิจ แก้ปัญหาปากท้อง ปราบปรามทุนเทา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมการแสดงวิสัยทัศน์ในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ในหัวข้อ “Thailand’s Next Frontier: A Notional Economic Vision วิสัยทัศน์ประเทศไทยในโลกใหม่” โดยมีนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวศุภมาศ อิสรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะทูตานุทูต ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ THE STANDARD พร้อมผู้เข้าร่วมงานกว่า 3,800 คน เข้าร่วมรับฟัง โดยนายนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด เป็นผู้ดำเนินการสนทนา สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายนครินทร์ได้กล่าวต้อนรับและขอบคุณนายกรัฐมนตรี พร้อมได้สอบถามถึงความรู้สึกตลอดระยะเวลา 1 เดือนของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ได้ทำงานบรรลุตามเป้าหมายอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมีเวลาเพียง 4 เดือนในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยก่อนหน้าได้เตรียมการและวางแผนกรอบการทำงานไว้ เพื่อให้การทำงาน 4 เดือน เป็นเวลาที่มุ่งมั่นทำงานอย่างเดียว โดยสิ่งที่ทำได้ก่อนจะเร่งทำอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องไหนที่ยังทำไม่ได้ก็ต้องรอรัฐบาลใหม่

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมุ่งเน้นเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบ Quick Big Win ซึ่งเป็นที่มาของนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล รวมถึงการแก้ไขปัญหาความมั่นคง การเร่งฟื้นฟูเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหาย และภัยพิบัติต่าง ๆ

เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้น การยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โดยเห็นพ้องกันว่า “ผู้ที่ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีไม่น่าจะมีอำนาจยุบสภา” ฉะนั้นต้องมีวิธีที่จะดำเนินการให้มีการยุบสภา และขณะนั้นพรรคประชาชนไม่มี candidate นายกรัฐมนตรี ซึ่งผู้ที่เหลือก็มีอยู่ไม่กี่คน และมีพรรคที่เห็นพ้องต้องกันว่ายุบสภาเพื่อไปเลือกตั้งคืนอำนาจให้กับประชาชน จึงเป็นที่มาของ MOA ดังกล่าว

นายกรัฐมนตรียืนยันว่ากำหนดเวลายังเป็นไปตาม Timeline เดิม ไม่เปลี่ยนความคิด ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีหลายฝ่ายเข้ามาเตือนหรือคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจกลายเป็นข้ออ้างให้เลื่อนการยุบสภาออกไป แต่ยืนยันว่าจะไม่ปฏิบัติตามแน่นอน ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับพรรคประชาชน เมื่อครบ 4 เดือน จะมีการยุบสภา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ก็ตาม”

การทำงานของรัฐบาลช่วง 4 เดือน ในฐานะนายกรัฐมนตรี และทีมงานได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ทีมรัฐมนตรีที่เชิญเข้ามาเป็นผู้มีความสามารถ มืออาชีพ และมีความเสียสละ เพื่อมาช่วยบริหารประเทศ หากทุกคนร่วมกันเปลี่ยนบริบทของประเทศไทย สร้างมาตรฐานใหม่ในการบริหารราชการ และมุ่งทำเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ความหวังและความเชื่อมั่นของประชาชนสามารถกลับคืนมาได้ หากทุกฝ่ายร่วมมือกันด้วยความตั้งใจจริง

ส่วนประเด็นที่มีกระแสว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินนั้น นายกฯ กล่าวว่าต้องทำความเข้าใจสถานการณ์อย่างรอบด้าน ซึ่งการกระทำของแก๊งมิจฉาชีพ (scammer) เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และเกิดขึ้นได้ในหลายประเทศ แต่สแกมเมอร์อยู่ในประเทศที่มีระบบและพัฒนาแล้วไม่ได้ แต่จะอยู่ในประเทศที่มีช่องว่างทางกฎหมาย ดังนั้นประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่เข้มงวดและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพเพื่อปราบปราม ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมด้านการบังคับใช้กฎหมายไว้แล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการวางแผนและปฏิบัติการเพื่อต่อสู้กับการฉ้อโกง ฟอกเงิน ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการบางส่วนเป็นเรื่องความลับที่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะได้ในขณะนี้

ไทยไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่อยู่ตรงกลางของภูมิภาค ที่สามารถทำสแกมเมอร์ได้ ไทยมีความน่าเชื่อถือในภูมิภาค ค่าเงินบาทเป็นที่ยอมรับ ทำให้สแกมเมอร์ กลุ่มยาเสพติด การค้ามนุษย์ ทุนเทา มองไทยเป็นเป้าหมาย รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมดังกล่าว พร้อมยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีใครหรือหน่วยงานใดที่ใหญ่กว่ากฎหมาย นอกจากนี้ รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มาเฟียหรือกลุ่มผู้มีอิทธิพลมาข่มขู่หรือมีอำนาจเหนือรัฐ

สำหรับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีความเข้าใจกลไกของรัฐ และสามารถลงมือปฏิบัตินโยบายได้จริง โดยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน เช่น นโยบาย “คนละครึ่ง พลัส” คิดว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์อะไร และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ประชาชนได้ใช้จ่าย และรู้สึกมีส่วนร่วมในส่วนของกลุ่มคนเปราะบาง

รัฐบาลมีนโยบายเติมเงินให้ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์กับประชาชนทุกคน ถือเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ครอบคลุม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศ และสร้างขวัญกำลังใจให้ประชาชน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่รัฐบาล 4 เดือนทำสำเร็จ และได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากประชาชน

นอกจากนี้ ยังดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยจะปรับโครงสร้างหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญด้านการเงินสำหรับประชาชน รวมถึงนโยบายด้านพลังงาน ที่ได้ผลักดันโครงการไฟฟ้าชุมชน เดินหน้าสู่ Green economy โดยต้องทำให้ประชาชนเข้าใจบริบทพลังงานสีเขียว สร้างความคุ้นเคยกับพลังงานสะอาด ปรับตัวตามกติกาใหม่ของโลก สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก อีกทั้งการดำเนินดังกล่าวนี้ เป็นการวางกรอบให้รัฐบาลในอนาคตสามารถต่อยอดได้อย่างยั่งยืน

นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึง 3 สิ่งที่โฟกัสที่สุดที่อยากทำให้สำเร็จ เรื่องแรก คือการยุบสภาวันที่ 31 มกราคม 2569 เรื่องที่สองคือเรื่องปากท้องของประชาชน และที่ทำสำเร็จแล้ว โครงการคนละครึ่ง พลัส ซึ่งเป็นนโยบายที่เกิดขึ้นจริงภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จริง นอกจากนี้จะผลักดันคนละครึ่ง พลัส เฟส 2 เพื่อเกิด After Shock ภายในเดือนธันวาคม 2568 ส่วนเรื่องที่สามการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และเรื่องของลดค่าโดยสารขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะช่วยลดค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง