“โขน” ศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ได้รับการฟื้นฟูให้รุ่งเรืองอีกครั้งภายใต้พระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงมีพระราชเสาวนีย์อันเป็นที่จดจำว่า “ถ้าไม่มีใครดู แม่จะดูเอง” พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างเครื่องแต่งกายโขนตามแบบโบราณ สนับสนุนงานฝีมือหัตถศิลป์จากศูนย์ศิลปาชีพทั่วประเทศ และทรงก่อตั้ง “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ” ขึ้นในปี พ.ศ. 2550 เพื่ออนุรักษ์และสืบทอดมรดกศิลปะของชาติ โขนภายใต้มูลนิธิฯ ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จนยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ” ในปี พ.ศ. 2561 พระราชกรณียกิจครั้งนี้จึงมิใช่เพียงการชุบชีวิตศิลปะแห่งแผ่นดิน แต่ยังเป็นการสถาปนา “โขนไทย” ให้กลับมาเปล่งประกายสู่สายตาชาวโลกอีกครั้ง
โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ สืบสานพระราชปณิธานสมเด็จพระพันปีหลวง
“โขน” เป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนภูมิปัญญาและความประณีตของคนไทยทั้งด้านนาฏศิลป์ คีตศิลป์ วรรณศิลป์ และหัตถศิลป์ จนกลายเป็นศิลปะแห่งชาติที่สืบทอดจากราชสำนักสู่ประชาชนมาอย่างยาวนาน และได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ” (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) จากองค์การยูเนสโก เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
โขนไทยมีการปรับปรุงและพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมอันงดงามไว้ครบถ้วน ทั้งด้านการแต่งกาย เครื่องประดับ หัวโขน ดนตรี การรำ และบทพากย์การเจรจา ซึ่งล้วนต้องอาศัยศาสตร์และศิลป์หลายแขนงมาประกอบกันอย่างกลมกลืน เพื่อให้ผู้ชมได้ทั้งความงดงามทางศิลปะและข้อคิดเชิงจริยธรรมจากเรื่องรามเกียรติ์
พระราชปณิธานในการฟื้นฟูโขนไทย
เมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงทราบจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ว่า “การแสดงโขนเริ่มซบเซาและขาดผู้ชม” พระองค์จึงมีพระราชเสาวนีย์อันเป็นที่จดจำว่า “ถ้าไม่มีใครดู แม่จะดูเอง” พระราชเสาวนีย์ดังกล่าวนับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการนาฏศิลป์ไทย พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรจัดการแสดงโขนถวายทอดพระเนตรในโอกาสเสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ จังหวัดต่าง ๆ อาทิ การแสดงตอน “นิ้วเพชร” ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร ตอน “สำมนักขาหึง” ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จังหวัดเชียงใหม่ และตอน “ยกรบ” ณ วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การแสดงเหล่านี้ได้สร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนและจุดประกายให้ศิลปะแห่งชาติกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
พระมหากรุณาธิคุณในการอนุรักษ์และพัฒนา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการรักษา “ความงดงามดั้งเดิม” ของโขน ทั้งในด้านศิลปะและหัตถกรรม จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ศึกษาการแต่งหน้า การแต่งกาย และเครื่องประดับของผู้แสดงให้คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์โบราณ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 300,000 บาท ให้กรมศิลปากรดำเนินการฟื้นฟูเครื่องแต่งกายโขนตามแบบราชสำนักไทย เพื่อให้มีลวดลายประณีตงดงามดังเดิม และทรงสนับสนุนการศึกษางานฝีมือโบราณ เช่น การปักสะดึงกรึงไหม การทำหัวโขน และงานเครื่องถนิมพิมพาภรณ์
พระองค์ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พัฒนาเครื่องแต่งกายโขนโดยใช้ “ผ้ายกเมืองนคร” และ “ผ้าไหมศิลปาชีพ” จากศูนย์ศิลปาชีพในภูมิภาคต่าง ๆ เข้ามาเป็นส่วนประกอบสำคัญของพัสตราภรณ์ ทำให้โขนกลายเป็นการรวมศิลป์ทุกแขนง ทั้งนาฏศิลป์ ดนตรี จิตรกรรม และหัตถศิลป์ไทยไว้อย่างสมบูรณ์
การก่อกำเนิด “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ”
จากพระราชดำริในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยให้ดำรงอยู่ พระองค์ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จัดแสดงโขนขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 เรื่อง “พรหมาศ” ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 75 พรรษา การแสดงครั้งนั้นได้รับเสียงชื่นชมอย่างกว้างขวางและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย มีประชาชนทุกเพศทุกวัยเข้าชมอย่างเนืองแน่น พระองค์ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้จัดแสดงต่อเนื่องทุกปี เพื่อให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้สัมผัสศิลปะแห่งชาติ จนกลายเป็นที่รู้จักในนาม “โขนพระราชทาน” และต่อมาถูกเรียกอย่างเป็นทางการว่า “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ”
การสืบสานและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา การแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้จัดแสดงอย่างต่อเนื่อง โดยผลัดเปลี่ยนตอนรามเกียรติ์ที่แตกต่างกันในแต่ละปี อาทิ “นางลอย” (พ.ศ. 2553), “ศึกมัยราพณ์” (พ.ศ. 2554), “จองถนน” (พ.ศ. 2555), “โมกขศักดิ์” (พ.ศ. 2556), “นาคบาศ” (พ.ศ. 2557), “พิเภกสวามิภักดิ์” (พ.ศ. 2561), “สะกดทัพ” (พ.ศ. 2565), “กุมภกรรณทดน้ำ” (พ.ศ. 2566) และล่าสุด “สัตยาพาลี” (พ.ศ. 2568) ซึ่งนับเป็นตอนสำคัญที่สื่อถึงคุณธรรม ความซื่อสัตย์ และความกตัญญู ผ่านการถ่ายทอดอันวิจิตรตระการตา
การแสดงแต่ละปีได้รับการพัฒนาให้ทันสมัย ทั้งในด้านฉาก แสง สี เสียง และเทคนิคพิเศษ รวมถึงการสร้างโอกาสให้เยาวชนรุ่นใหม่จากทั่วประเทศได้เข้ามามีส่วนร่วมในฐานะนักแสดง ผู้ฝึกซ้อม และช่างศิลป์ เพื่อสืบทอดศาสตร์แห่งนาฏศิลป์และหัตถศิลป์ไทยให้คงอยู่
การแสดง “สัตยาพาลี” พ.ศ. 2568
ในปี พ.ศ. 2568 มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ได้จัดแสดงโขนตอน “สัตยาพาลี” ระหว่างวันที่ 6 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรรอบปฐมทัศน์ในวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เรื่องราวเริ่มจากทศกัณฐ์แปลงกายเป็นปูยักษ์เพื่อทำลายพิธีโสกันต์ขององคตกุมาร แต่พาลีผู้ได้พรจากพระอิศวรปราบได้ ต่อมาเกิดเหตุทรพีโอหังไม่กตัญญูถูกพาลีฆ่าตาย ทำให้พาลีกับสุครีพเข้าใจผิดแตกกัน สุครีพไปพึ่งพระรามและร่วมต่อสู้จนพาลีสิ้นชีวิตโดยฝากฝังบ้านเมืองไว้กับพระราม ทศกัณฐ์ให้นางมณโฑหุงน้ำทิพย์ชุบชีวิตพลยักษ์ แต่พระรามส่งหนุมานไปทำลายพิธีได้สำเร็จ เป็นการแสดงที่งดงามทั้งด้านศิลปะและข้อคิดทางคุณธรรม
มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ
ความสำเร็จของโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ภายใต้พระราชอุปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้รับการยกย่องทั้งในประเทศและนานาชาติ โดยในปี พ.ศ. 2552 กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้ขอขึ้นทะเบียนโขนเป็นมรดกโลก ซึ่งในปี พ.ศ. 2561 องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนโขนเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ” การขึ้นทะเบียนครั้งนี้มิได้เป็นเพียงการยกย่องศิลปะแห่งชาติเท่านั้น หากยังเป็นการยืนยันถึงพระปรีชาสามารถและพระราชวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของสมเด็จพระพันปีหลวง ผู้ทรงอุทิศพระวรกายและพระราชหฤทัยเพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และต่อยอดศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่คู่ชาติสืบไป
โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จึงมิได้เป็นเพียงการแสดง แต่เป็น “มหากาพย์แห่งพระเมตตา” ที่ทรงสร้างขึ้นด้วยพระราชหฤทัยแห่งความรักในศิลปะไทย พระองค์ทรงหลอมรวมภูมิปัญญาของบรรพชนเข้ากับพลังแห่งศรัทธาและความร่วมมือของประชาชนทั่วประเทศ เพื่อให้โขนกลับมาเป็นศิลปะการแสดงที่มีชีวิต มีความหมาย และมีคุณค่าต่อคนไทยทุกยุคทุกสมัย
นับแต่นั้น “โขน” จึงมิใช่เพียงศิลปะการร่ายรำ หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งพระบารมีที่ทรงชุบชีวิตศิลปะแห่งแผ่นดินให้คงอยู่คู่สังคมไทย และส่องประกายสู่สายตาชาวโลกตราบนานเท่านาน








