นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายลอว์เรนซ์ หว่อง (H.E. Mr. Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความร่วมมือระหว่างไทยและสิงคโปร์ รวม 2 ฉบับประกอบด้วย
(1) บันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ (Memorandum of Cooperation on Rice Trade between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Singapore) ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานอาหารสิงคโปร์ (Singapore Food Agency : SFA) โดยมีสาระสำคัญเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคและส่งเสริมการค้าระหว่างสองประเทศ ไทยตกลงจะจำหน่ายข้าวให้แก่รัฐบาลสิงคโปร์ในปริมาณสูงสุดไม่เกิน 100,000 ตันต่อปี โดยถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทางการค้าและความร่วมมือระหว่างไทย–สิงคโปร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น พร้อมสร้างกลไกความร่วมมือด้านการค้าอย่างเป็นระบบ และเปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกข้าวไทยเข้าสู่ตลาดสิงคโปร์ได้มากขึ้น
(2) บันทึกความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพผู้นำด้านสาธารณสุขเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในเมือง (Memorandum of Understanding on Capacity Building for Healthcare Leadership in Urban Ageing Care) ระหว่างสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร เพื่อผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กับ Singapore Health Services เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการ การพัฒนาและถ่ายทอดนวัตกรรม และการฝึกอบรมด้านการดูแลผู้สูงอายุแบบไร้รอยต่อ อันจะช่วยพัฒนาทักษะและศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ไทย ให้สามารถเป็นผู้ฝึกสอน (coach) ถ่ายทอดความรู้และเสริมสมรรถนะของบุคลากรในสถานบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภายหลังพิธีแลกเปลี่ยนความตกลง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และนายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้ร่วมกันแถลงข่าว สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เดินทางเยือนสาธารณรัฐสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ พร้อมขอบคุณในไมตรีจิตและการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่มอบให้ การเยือนครั้งนี้มีความสำคัญและเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไทยและสิงคโปร์เฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศใกล้ชิดทุกระดับ ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นที่สนใจและเป็นประโยชน์ร่วมกัน ใน 4 ด้าน ดังนี้
ด้านที่ 1 ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามในความตกลงว่าด้วยการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งถือเป็นความตกลงฉบับแรกของสิงคโปร์กับประเทศสมาชิกอาเซียน และจะเปิดทางให้ทั้งสองประเทศสามารถเริ่มซื้อขายคาร์บอนเครดิตร่วมกันได้ในเร็ว ๆ นี้ รวมทั้งยืนยันการสนับสนุนโครงการเชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าระยะที่สอง (Lao PDR–Thailand–Malaysia–Singapore Power Integration Project Phase 2) เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านพลังงานในภูมิภาค รวมถึงได้หารือแนวทางความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย
ด้านที่ 2 ความร่วมมือเพื่อเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกันมากขึ้น ไทยชื่นชมสิงคโปร์ที่เป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และยินดีต้อนรับการลงทุนเพิ่มเติมจากสิงคโปร์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า ไบโอเทค และ Data Centers รวมทั้งได้หารือถึงความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพ เช่น การร่วมทุนในธุรกิจซ่อมบำรุงและปรับปรุงอากาศยาน (MRO) ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองประเทศให้เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค
ความร่วมมือดิจิทัล ไทยและสิงคโปร์ยังพร้อมสนับสนุนความร่วมมือทางด้านดิจิทัลผ่านความตกลงหุ้นส่วนด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Partnership Agreement: DEPA) และความตกลงกรอบเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement: DEFA) รวมถึงความร่วมมือในระดับทวิภาคี ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการบูรณาการด้านดิจิทัลและนวัตกรรม
ความมั่นคงทางอาหาร ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อการลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านการค้าข้าวในวันนี้ ซึ่งจะรับประกันการส่งออกข้าวคุณภาพสูงจากไทยเพื่อผู้บริโภคในสิงคโปร์
สาธารณสุข ทั้งสองฝ่ายยังยินดีต่อการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพผู้นำด้านสาธารณสุขเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในเมือง ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของบุคลากรทางการแพทย์ไทยในการรับมือกับความท้าทายของสังคมสูงวัยในอนาคต
ด้านที่ 3 การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศ ไทยและสิงคโปร์จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือในด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคงให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งแสวงหาความร่วมมือในอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีด้านกลาโหม ที่สำคัญ ทั้งสองประเทศจะยกระดับความร่วมมือในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมทางออนไลน์ โดยประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ในเร็ว ๆ นี้ และจะทำงานร่วมกับสิงคโปร์และประเทศอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด
ด้านที่ 4 การประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาค ไทยและสิงคโปร์ยืนยันจะกระชับการประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาคมากยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้อาเซียนมีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่น ทั้งสองประเทศเห็นพ้องจะผลักดันให้เกิดการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อเปิดศักยภาพของตลาดอาเซียน รวมทั้งจะร่วมกันสำรวจแนวทางเพื่อยกระดับความเชื่อมโยงในภูมิภาค ทั้งทางถนน รถไฟ ทางอากาศ ทางทะเล ดิจิทัล และพลังงาน โดยไทยพร้อมใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ในการเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางทะเลและจีน ตลอดจนเชื่อมโยงกับอินเดีย
ในความร่วมมือระดับโลก ไทยและสิงคโปร์จะยึดมั่นในระบบการค้าพหุภาคีที่ยึดตามกฎระเบียบ ท่ามกลางแรงกดดันของกระแสกีดกันทางการค้า โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ถึงสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาด้วย และยืนยันถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะดำเนินการตาม Joint Declaration ที่ลงนาม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา และขอขอบคุณสิงคโปร์ที่ให้การสนับสนุนไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยได้รับการสนับสนุนจากอาเซียน








