หน่วยงานภาครัฐ สั่งการเร่งระดมกำลังช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุ “คัลแมกี”

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า จากการติดตามการเคลื่อนตัวของพายุ “คัลแมกี” พบว่าช่วงเช้าของวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 พายุได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ก่อนเคลื่อนเข้าปกคลุม อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยข้อมูล เมื่อเวลา 17.00 น. พายุดีเปรสชัน “คัลแมกี” ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว บริเวณจังหวัดศรีสะเกษ แต่ยังคงส่งผลให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคเหนือ จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานว่าพื้นที่ที่เป็นเส้นทางผ่านของพายุมีฝนตกเล็กน้อยถึงปานกลาง และยังไม่มีรายงานความเสียหายเกิดขึ้น

นอกจากนี้ ปภ. ได้รับแจ้งจากกรมชลประทานว่าได้คาดการณ์ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 2,900 – 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์แม่น้ำสะแกกรังปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี Ct.19 จังหวัดอุทัยธานีและลำน้ำสาขา อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณน้ำระหว่าง 3,300 – 3,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที การรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งรวมจำนวน 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงปรับเพิ่มปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจากเดิมไม่เกิน 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็นระบายน้ำในอัตรามากกว่า 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยปริมาณน้ำจะส่งผลให้ระดับน้ำตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ ดังนี้

คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย)

จังหวัดชัยนาท บริเวณอำเภอสรรพยา

จังหวัดสิงห์บุรี บริเวณอำเภอเมืองสิงห์บุรี อำเภออินทร์บุรี และอำเภอพรหมบุรี

จังหวัดอ่างทอง บริเวณอำเภอเมืองอ่างทอง อำเภอไชโย อำเภอป่าโมก อำเภอวิเศษชัยชาญ

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บริเวณอำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอเสนา อำเภอบางบาล

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างเกิดภาวะน้ำท่วมขัง ชุมชนริมตลิ่งนอกคันกั้นน้ำได้รับความเดือดร้อน เพื่อควบคุมผลกระทบดังกล่าวไม่ให้ขยายวงกว้างขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้พื้นที่ว่างเหนือเขื่อนเจ้าพระยาชะลอน้ำไว้ชั่วคราวซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้น และจะมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้

จังหวัดอุทัยธานี บริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลหาดทนง ตำบลเกาะเทโพ ตำบลสะแกกรัง ตำบลน้ำซึม และตำบลท่าขุง อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดชัยนาท บริเวณพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลศิลาดาน ตำบลฉนวน ตำบลวัดโคก และตำบลคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ ตำบลวัดสิงห์ และตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ ตำบลท่าชัย ตำบลหาดท่าเสา ตำบลธรรมามูล ตำบลเขาท่าพระ ตำบลชัยนาท และตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยนาท คลองมะขามเฒ่า บริเวณชุมชนจวนวิไล ชุมชนท่าศาลาและชุมชนมะขามเฒ่า ตำบลวัดสิงห์ และพื้นที่ริมแม่น้ำมะขามเฒ่า ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์

จึงได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ และประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรกลสาธารณภัยพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร ท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะ ตลอดจนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและบริเวณจุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ รวมถึงเตรียมพร้อมในการขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้พ้นจากแนวน้ำท่วม นอกจากนี้ ยังได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เพื่อเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

สำหรับประชาชน ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น หากได้รับความเดือดร้อนสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะที่สถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดอ่างทอง นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้สั่งการด่วนให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง โดยเฉพาะบริเวณอำเภอป่าโมก ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุคันดินแตก น้ำไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่เกษตรของประชาชนเป็นวงกว้าง ซึ่งได้มอบหมายให้ สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สป.ทส.) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดอ่างทอง (ทสจ.อ่างทอง) ประสานการทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อระดมกำลังเจ้าหน้าที่และอากาศยานของ ทส. เข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างเร่งด่วน ทั้งการลำเลียงสิ่งของจำเป็น ขนย้ายผู้ป่วย และสนับสนุนการกู้ภัยในจุดที่น้ำยังท่วมขัง

ทั้งนี้ได้มีการประสานกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในพื้นที่ เตรียมความพร้อมในการขนย้ายผู้ป่วยและผู้สูงอายุ หากสถานการณ์ยังคงรุนแรงหรือมีจุดที่ถูกตัดขาดจากการสัญจร และย้ำว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะระดมทรัพยากรทุกด้าน ทั้งกำลังคน อากาศยาน และเครื่องมือสนับสนุนภาคสนาม เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในจังหวัดอ่างทอง บริเวณวัดต้นสน ชุมชนวัดท้องคุ้ง บ้านน้ำวน ใกล้สะพานป่าโมก และชุมชนตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง พบว่าบริเวณวัดต้นสนและชุมชนวัดท้องคุ้ง เจ้าหน้าที่ยังสามารถป้องกันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไม่ให้ไหลเข้ามายังชุมชนได้ ส่วนที่บ้านน้ำวนใกล้สะพานป่าโมก และชุมชนตำบลโผงเผง อำเภอป่าโมก น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าท่วมในพื้นที่แล้ว ขณะนี้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลโผงเผงกำลังทำแนวป้องกันน้ำท่วมริมถนนสายอ่างทอง-ป่าโมก-อยุธยา ตลอดแนวที่น้ำไหลเข้าท่วม เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลข้ามฝั่งท่วมผิวการจราจรจนไม่สามารถสัญจรได้ ซึ่งเป็นห่วงสถานการณ์น้ำที่เพิ่มมากขึ้นในลำน้ำเจ้าพระยา โดยยืนยันว่าได้มีการสั่งการให้เพิ่มการระบายน้ำออกซ้ายขวาเพื่อแบ่งเบาน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ขณะเดียวกันได้ติดตามสถานการณ์ฝนจากพายุ “คัลแมกี” หากปริมาณฝนไม่มากคาดว่าระดับน้ำเจ้าพระยาจะไม่เพิ่มมากอย่างที่มีการคาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ยังได้ลงพื้นที่ด่วนอีกครั้งเพื่อตรวจสอบสถานการณ์บริเวณเชิงสะพานป่าโมก อำเภอป่าโมกจังหวัดอ่างทอง ติดตามการแก้ไขแนวคันดินที่ชำรุด เพื่อชะลอน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชน โดยระบุว่า สถานการณ์ค่อนข้างรุนแรงในรอบ 20 ปี ซึ่งขณะนี้ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทองและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เร่งอุดแนวที่ชำรุดไป เพราะหากไม่สามารถปิดกั้นได้จะมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอีกหลายตำบล พร้อมแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ท้ายน้ำ โดยเฉพาะพื้นที่หมู่ 2 หมู่ 1 หมู่ 8 ตำบลเอกราช และตำบลนรสิงห์ อำเภอป่าโมก  ตำบลมหาดไทย อำเภอเมืองอ่างทอง  ตำบลไผ่ดำพัฒนา ตำบลหัวตะพาน และตำบลมหาดไท อำเภอวิเศษชัยชาญ หัวตะพาน ขอให้เตรียมการยกของขึ้นที่สูง ซึ่งขณะนี้ได้พยายามแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ทั้งหมด

สำหรับการเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบจากพายุ “คัลแมกี” หน่วยงานต่างๆ ได้วางแผนรองรับอย่างเต็มที่ โดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในส่วนของพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และถนนชำรุดเสียหาย ต้องเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดกระทรวงคมนาคม ทั้งทางบก ราง น้ำ และอากาศ จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังและปฏิบัติการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมวางแผนรับมือเฉพาะหน้าในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่ลาดเชิงเขา ลำธาร และพื้นที่ริมแม่น้ำที่อาจเกิดน้ำล้นตลิ่ง ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าพื้นที่บริหารจัดการเส้นทางทันที เตรียมอุปกรณ์พร้อมจัดทำทางเลี่ยงและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน หากมีการร้องขอและพบถนนหรือสะพานขาด ให้เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์ เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรได้โดยเร็ว ในกรณีที่มีต้นไม้หักโค่นหรือสิ่งกีดขวางถนน ให้ระดมเครื่องจักรกลเข้าดำเนินการเก็บกู้และเปิดทางทันที รวมถึงจัดตั้งป้ายเตือนภัยและจุดอำนวยความสะดวกในพื้นที่เสี่ยงทันที ในส่วนของการเดินทางทางน้ำ ผู้ประกอบการควรติดตามข่าวสารและประกาศเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างใกล้ชิด หากมีพายุหรือคลื่นลมแรง เรือเล็ก ควรงดออกจากฝั่ง ส่วนเรือขนาดใหญ่ควรชะลอการเดินทางจนกว่าสภาพอากาศจะคลี่คลาย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำ สำหรับประชาชนทั่วไป หากพบพื้นที่มีน้ำท่วมขัง น้ำหลาก หรือมีความเสี่ยงต่อการสัญจร ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางดังกล่าว โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ซึ่งอาจมีสายไฟฟ้า กิ่งไม้ หรือสิ่งกีดขวางที่เป็นอันตราย พร้อมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำและป้ายเตือนของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด

พร้อมกันนี้ได้กำชับหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดทุกแห่งให้เผยแพร่ข้อมูลสถานการณ์เส้นทาง และมาตรการช่วยเหลือประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา หากประชาชนต้องการสอบถามหรือแจ้งเหตุสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง โทร. 1586 (โทรฟรี 24 ชั่วโมง) และเว็บไซต์ระบบบริหารจัดการภัยพิบัติ (HDMS) สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 และสายด่วนกรมเจ้าท่า โทร. 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะที่นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบจากพายุ “คัลแมกี” ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานบริการสาธารณสุขและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้ นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข จึงมีข้อสั่งการถึงสถานบริการและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขให้เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณี อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ดังนี้

1. เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ระดับจังหวัด และระดับเขตสุขภาพในพื้นที่เสี่ยง เพื่อติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด (Alert Level)

2. ติดตามและเฝ้าระวังสภาพอากาศ ประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

3. วิเคราะห์ความเสี่ยงสถานบริการสาธารณสุขที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะโรงพยาบาลในพื้นที่ลุ่มน้ำเสี่ยง (เจ้าพระยา-ป่าสัก-ชี-มูล) ให้ทบทวนแผนประคองกิจการ แผนสำรองเตียง ระบบส่งต่อ และแผนอพยพของโรงพยาบาล

4. ตรวจสอบระบบสำรองทรัพยากรที่สำคัญ ได้แก่ ระบบไฟฟ้า น้ำประปา น้ำดื่มน้ำใช้ ระบบสื่อสาร และเวชภัณฑ์ฉุกเฉินให้เพียงพอ

5. เตรียมความพร้อมทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุขทุกประเภท ให้การดูแลประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

6. เฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพหลังน้ำท่วม และจัดทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤตดูแลสุขภาพจิตประชาชนและเจ้าหน้าที่

7. สื่อสารความเสี่ยงกับประชาชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้รับทราบสถานการณ์แนวทางดูแลสุขภาพ และช่องทางขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน

8. รายงานสถานการณ์และผลกระทบผ่านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) กองสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข อย่างต่อเนื่อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง