ธรรมนัส-ซาบีดา-ภราดร ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เร่งจ่ายเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาทให้ครบถ้วน ย้ำ “รัฐบาลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศพายุ “คัลแมกี” และฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณประเทศไทย ฉบับสุดท้าย ระบุว่า หย่อมความกดอากาศต่ำที่อ่อนกำลังลงจากพายุดีเปรสชัน “คัลแมกี” (KALMAEGI) ปกคลุมบริเวณด้านตะวันตกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนล่าง และจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือในระยะต่อไป จากอิทธิพลจะส่งผลจนถึงวันที่ 9 พ.ย. 68 บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางตอนบน มีฝนตกหนักบางพื้นที่ โดยจังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก ในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา และตาก ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่าน พื้นที่ลุ่ม และพื้นที่น้ำท่วมขัง สำหรับเกษตรกรขอให้ป้องกันและระวังผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย

ส่วนพายุไต้ฝุ่น “ฟงวอง (FUNG-WONG)” บริเวณทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ กำลังเคลื่อนผ่านเกาะลูซอนลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบน และมีแนวโน้มจะมุ่งไปทางช่องแคบไต้หวันและขึ้นฝั่งจีนช่วง 10–11 พ.ย. 68 ทั้งนี้ พายุลูกนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย แต่ขอให้ผู้ที่มีแผนเดินทางไปฟิลิปปินส์ตรวจสอบสภาพอากาศล่วงหน้า สามารถติดตามข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ที่ www.tmd.go.th โทรศัพท์ 0-2399-4012–13 และ สายด่วน 1182 ตลอด 24 ชม.

ด้านกรมชลประทาน ได้แจ้งปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำฝน-น้ำท่า วันที่ 8 พ.ย. 68 เวลา 18.00 น. ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C.2 นครสวรรค์ที่ 2,948 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) สมทบกับปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำสะแกกรัง สถานี Ct.25 อุทัยธานี 306 ลบ.ม./วินาที ระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยาที่อัตรา 2,700 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ +17.64 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง ดังนั้น จึงขอแจ้งปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา โดยเริ่มเวลา 22.00 น. ทยอยจากอัตรา 2,700 ลบ.ม./วินาที เป็นอัตรา 2,750 ลบ.ม./วินาที ในวันที่ 9 พ.ย. 68  เวลา 03.00 น. (ชั่วโมงละ 10 ลบ.ม./วินาที โดยประมาณ) และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เพื่อรองรับสถานการณ์ปริมาณน้ำในพื้นที่ต่างๆ นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 2 ลงพื้นที่เร่งติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำท่วมขังใน จ.อ่างทองและสิงห์บุรี หลังได้รับรายงานว่าหลายชุมชนได้รับผลกระทบจากระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่เพิ่มสูงขึ้นและฝนตกต่อเนื่อง

จังหวัดอ่างทอง เจ้าหน้าที่ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้ว 1 เครื่อง บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา หมู่ที่ 5 ต.จำปาหล่อ อ.เมืองอ่างทอง เพื่อเร่งระบายน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่หมู่ 4, 5 และ 6 มีประชาชนได้รับผลกระทบรวมกว่า 430 หลังคาเรือน

จังหวัดสิงห์บุรี ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้ว อีก 1 เครื่อง ณ พื้นที่ อบต.โรงช้าง อ.พรหมบุรี เพื่อระบายน้ำท่วมขังในเขตชุมชนจากน้ำฝนสะสมและน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่เอ่อล้นตลิ่งเข้าสู่พื้นที่เกษตรและบ้านเรือนประชาชน

นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ทุกสำนักงานในภูมิภาคเตรียมพร้อมสนับสนุนเครื่องจักรกล เครื่องสูบน้ำ และเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนทันทีเมื่อเกิดเหตุ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว       

นส่วนของการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย และสนับสนุนภารกิจของทุกหน่วยงานจากผลกระทบของพายุ “คัลแมกี” พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย พร้อมให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยของทุกกองทัพภาคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเป็นศูนย์กลางประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง โดยได้จัดเตรียมกำลังพล ยานพาหนะ เครื่องจักรกลหนัก เรือท้องแบน และชุดแพทย์เคลื่อนที่ ให้พร้อมเข้าปฏิบัติการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้ทันที

พื้นที่ภาคกลาง ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 1 ได้ระดมกำลังจากหน่วยขึ้นตรง เข้าช่วยเหลือประชาชนในหลายจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้

– จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ จัดกำลังพลจากหน่วยขึ้นตรงเข้าช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยา บางไทร เสนา บางปะอิน และบางบาล โดยขนย้ายสิ่งของ อพยพประชาชน และเสริมแนวคันกั้นน้ำ เพื่อป้องกันน้ำเข้าพื้นที่ชุมชน

– จังหวัดอ่างทอง กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ โดยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 11 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ และกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ เข้าดำเนินการเสริมแนวกั้นน้ำและคันดินป้องกันน้ำเข้าพื้นที่ชุมชน รวมทั้งช่วยเหลือประชาชนขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงในอำเภอป่าโมกและไชโย

– จังหวัดปทุมธานี หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก จัดกำลังพลหน่วยขึ้นตรง เข้าช่วยบรรจุกระสอบทราย จัดทำแนวกั้นน้ำ และสนับสนุนยานพาหนะในการอพยพประชาชน รวมถึงขนย้ายสิ่งของจำเป็นในพื้นที่อำเภอเมืองปทุมธานี สามโคก และลาดหลุมแก้ว

พื้นที่ภาคเหนือ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 3 จัดกำลังพลชุดบรรเทาสาธารณภัย ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน อาทิ มณฑลทหารบกที่ 31 จัดกำลังพลเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนบ้านพักเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ โดยช่วยขนย้ายสิ่งของไปยังที่สูง

พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 2 ได้เตรียมพร้อมกำลังพล และเครื่องมือบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น อาทิ ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา มณฑลทหารบกที่ 21 ได้ตรวจความพร้อมและซักซ้อมการปฏิบัติของชุดบรรเทาสาธารณภัยเคลื่อนที่เร็วกองพันทหารราบ พร้อมปฏิบัติภารกิจได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการทหารบกได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างรอบคอบ  รวดเร็ว และให้คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนและกำลังพลเป็นหลัก เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ลดผลกระทบจากภัยพิบัติ และช่วยให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว กองทัพบก พร้อมให้การสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ด้านพลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ สั่งการให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือในพื้นที่ต่าง ๆ เตรียมความพร้อมทั้งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ บูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ รวมทั้งสำรวจพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมขังหรือน้ำท่วมซ้ำซากที่มีผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ และให้การช่วยเหลือในลักษณะการป้องกันเชิงรุก เช่น การขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง เพื่อลดผลกระทบจากความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ กองทัพเรือยังได้จัดเตรียมหมู่เรือบรรเทาสาธารณภัย สำหรับการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในทะเล และชุดเฉพาะกิจผลักดันน้ำ เพื่อเข้าร่วมปฏิบัติการเร่งการระบายน้ำในพื้นที่ประสบภาวะน้ำท่วมขังวิกฤต ตามที่ได้รับการประสานงานจากจังหวัด โดยเรือผลักดันน้ำเหล่านี้จะสามารถเดินทางเข้าปฏิบัติการในพื้นที่ได้ ภายใน 2-3 วัน หลังจากได้รับการประสาน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล และพื้นที่ที่เคยประสบอุทกภัย ติดตามข่าวสารและประกาศเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาและข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมขนย้ายสิ่งของขึ้นสู่ที่สูงเพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น

ส่วนการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชน ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดปัตตานีและยะลา โดยระบุว่าได้สั่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาน้ำในจังหวัดยะลาอย่างเป็นระบบ เพื่อจัดทำ “แผนที่น้ำ” ครอบคลุมพื้นที่ลำน้ำสาขา แหล่งกักเก็บน้ำ และจุดที่ตื้นเขิน พร้อมเสนอของบประมาณเร่งด่วน ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อรองรับสถานการณ์ฝนที่กำลังจะลงภาคใต้ หากจำเป็นจะใช้งบเหลือจ่ายของกรมชลประทาน รวมถึงประสานความร่วมมือกับหน่วยทหารที่มีเครื่องจักรพร้อมเข้าดำเนินการขุดลอกทันที โดยให้เร่งพิจารณาจัดทำแนวทางที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม สำหรับการบริหารจัดการน้ำ จ.ปัตตานี ถือเป็นแหล่งรองรับน้ำของ 3 จังหวัดชายแดนใต้ จึงได้มอบหมายกรมชลประทานเร่งศึกษาโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ และสร้างความเข้าใจกับประชาชน เพื่อจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ

ด้านนางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคณะ ลงพื้นที่ จ.นครสวรรค์ มอบถุงยังชีพและสิ่งของบรรเทาทุกข์ จำนวน 222 ชุด และส่งต่อกำลังใจให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่ชุมชนบางปรอง ณ โรงเรียนวัดปากน้ำโพใต้ อ.เมืองนครสวรรค์ พร้อมสั่งการจังหวัดให้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจ่ายเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาทให้ครบถ้วน ยืนยัน “รัฐบาลไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มกำลัง จากนั้นได้ลงพื้นที่ อ.ท่าตะโก มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ที่ อบต.พนมเศษ รวมกว่า 400 ชุด พร้อมลงเรือท้องแบนลุยน้ำเข้าพื้นที่น้ำท่วม เยี่ยมผู้สูงอายุและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ และมอบถุงยังชีพ ให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด โดย ต.พนมเศษ อ.ท่าตะโก มีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมกว่า 2,500 ครัวเรือนใน 11 หมู่บ้าน นอกจากนี้

นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดอ่างทองเป็นวันที่ 2 โดยประชุมหารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องวางแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจเทศบาลตำบลป่าโมก และถนนทางหลวงหมายเลข 33 สะพานป่าโมก เนื่องจากมีแนวโน้มระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น เร่งดำเนินการ 2 จุดสำคัญ ได้แก่ จุดแรกบริเวณคันกั้นน้ำที่ชำรุดก่อนถึงสะพานป่าโมก 40 เมตร ใช้กระสอบทรายกว่า 500 ใบปิดรอยรั่วและใช้เรือท้องแบน 4 ลำ ล่องตามลำน้ำ ในการนำกระสอบทรายไปติดตั้งด้วย จุดที่ 2 บริเวณสะพานป่าโมก และเขตตลาดป่าโมก เทศบาลตำบลป่าโมก ใช้รถแบ็คโฮ 2 คัน บังน้ำเพื่อชะลอน้ำและใช้รถแบ็คโฮอีก 2 คัน นำแบริเออร์และบิ๊กแบ็กมาลงเพิ่มเติม โดยมีกำลังพลจากหน่วยทหารและแขวงทางหลวงอ่างทองมาสนับสนุน เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบไปยังพื้นที่ข้างเคียง ได้แก่ ตำบลนรสิงห์ ตำบลเอกราช อำเภอป่าโมก ตำบลไผ่ดำพัฒนา อำเภอวิเศษชัยชาญ รวมทั้งอำเภอเมืองอ่างทองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจังหวัด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง