ขับเคลื่อนสมุนไพรไทยสู่ Medical & Wellness S-Curve สมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก

ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้ช่วยอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า การผลิตยาสมุนไพรคุณภาพต้องเริ่มตั้งแต่ต้นทาง โดยวัตถุดิบต้องมาจากแหล่งปลูกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) เก็บเกี่ยวอย่างถูกวิธี ช่วงกลางทางคือ กระบวนการผลิต ต้องดำเนินการในสถานที่  ที่ได้รับรองมาตรฐานการผลิตที่ดี (GMP) เพื่อรักษาความสะอาดและคุณภาพของสมุนไพรทุกขั้นตอน และปลายทางคือการบรรจุและจัดเก็บผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ต้องมีระบบการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่ายาสมุนไพรมีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานตำรายาที่ได้รับการยอมรับ การควบคุมคุณภาพจะให้ความสำคัญทั้งด้านกายภาพ จุลชีววิทยาและเคมี โดยตรวจสอบลักษณะ สี กลิ่น ความชื้นและสิ่งแปลกปลอม ควบคู่กับการตรวจสอบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ รวมถึงการวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญในสมุนไพร เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่มือผู้บริโภคมีคุณภาพ และความปลอดภัยในระดับสูงสุด เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้สมุนไพรไทยได้รับความเชื่อมั่นและสามารถก้าวสู่ผลิตภัณฑ์สุขภาพระดับสากลได้อย่างยั่งยืน

ด้าน ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีรังสีมาใช้ในกระบวนการผลิต เป็นอีกกลไกสำคัญที่ช่วยเสริมความปลอดภัยของสมุนไพรไทย โดยเทคโนโลยีนี้ใช้พลังงานจากรังสีแกมมา หรือลำแสงอิเล็กตรอน เพื่อทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อนในสมุนไพรโดยตรง ซึ่งเป็นยอมรับในระดับสากล ทั้งจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ International Atomic Energy Agency (IAEA) แต่ไม่เพียงพอหากวัตถุดิบไม่สะอาดตั้งแต่ต้น จึงต้องมีการจัดการสมุนไพรในพื้นที่สะอาด ถูกสุขลักษณะ และควบคุมกระบวนการผลิตให้ปลอดการปนเปื้อนตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้การฉายรังสีเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าทำได้ครบจะเป็นอีกก้าวสำคัญในการยกระดับยาสมุนไพรไทยสู่มาตรฐาน Medical Grade ที่ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่า สะอาด ปลอดภัยและคงคุณค่าสารสำคัญทางยาอย่างแท้จริง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง