ครม. เตรียมอนุมัติงบช่วยน้ำท่วมขังนาน เพิ่มกว่า 1.2 แสนครัวเรือน จ.อ่างทอง สั่งเพิ่มความสูงคันกั้นน้ำ รับมือเขื่อนเจ้าพระยาระบายน้ำเพิ่ม

นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำเรื่องการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมต้องดำเนินการให้เร็วที่สุดเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติจ่ายเงินเยียวยาแล้วกว่า 6 แสนหลังคาเรือน จำนวนกว่า 6,000 ล้านบาท และกำลังจะพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาเพิ่มเติม กรณีน้ำท่วมขังบ้านเรือน เป็นเวลานาน 30 วัน 60 วัน และ 90 วัน รวม 17 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ นครนายก นครปฐม นครสวรรค์ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา พิจิตร พิษณุโลก สระบุรี สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี อ่างทอง อุดรธานี อุทัยธานี และอุบลราชธานี จำนวน 124,430 ครัวเรือน วงเงิน 463,870,000 บาท โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจะเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารต่อไป นอกจากนี้ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ได้รายงานให้ทราบถึงภาพรวมการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ซึ่งต้องเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน พร้อมมีการประเมินผลกระทบอย่างรอบคอบทุกด้าน

ขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี” ในพื้นที่ตอนบน ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยที่สถานี วัดน้ำ P.17 แม่น้ำปิง มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,186 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที สถานีวัดน้ำ Y.64 แม่น้ำยม มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 496 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และสถานีวัดน้ำ N.67 แม่น้ำน่าน มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,225 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ก่อนที่จะไหลมารวมกันที่จังหวัดนครสวรรค์ ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ที่สถานี C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณไหลผ่านในอัตรา 2,948 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในขณะที่สถานี Ct.25 แม่น้ำสะแกกรัง มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 249 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ก่อนที่จะไหลไปสมทบกับแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ทำให้ระดับน้ำหน้าเขื่อนเจ้าพระยา สูงขึ้นในระดับ +17.71 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง แนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ด้วยการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งเต็มศักยภาพของลำคลอง พร้อมทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ตั้งแต่เวลา 10.00 – 15.00 น. วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 จากอัตรา 2,750 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำเหนือและน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดพบว่า ปริมาณน้ำทางตอนบนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากอิทธิพลของของพายุ “คัลแมกี” จึงยังคงมีปริมาณน้ำเหนือไหลหลากลงสู่พื้นที่ตอนล่างอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงนี้ถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เกิดน้ำทะเลหนุนสูง จึงทำให้การระบายน้ำเป็นไปอย่างจำกัดและต้องใช้เวลา ซึ่งกรมชลประทาน ได้เร่งระบายน้ำผ่านสถานีสูบน้ำตามแนวคลองชายทะเล ออกสู่อ่าวไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำให้เร็วที่สุด

ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดอ่างทอง นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง เรียกประชุมด่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรายงานสถานการณ์ และแนวทางการป้องกันรับมือน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดอ่างทอง โดยมีข้อสั่งการ ดังนี้

1. ให้หัวหน้าส่วนราชการและนายอำเภอทุกอำเภอ ต้องสามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง

2. ให้ทุกหน่วยงานโดยเฉพาะพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและอำเภอเตรียมการป้องกันน้ำในพื้นที่ เพิ่มความสูงคันกั้นน้ำอย่างน้อย 50-60 เซนติเมตร ให้สามารถรับมือได้หากเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มการระบายน้ำถึง 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที  

3. ให้อำเภอจัดตั้งศูนย์อำนวยการ รวบรวมข้อมูลทรัพยากรในพื้นที่ เพื่อให้สามารถประเมินภาพรวม และสั่งการได้ทันที

4. แต่ละพื้นที่เตรียมแผนเผชิญเหตุ โดยกำหนด “โซน” รวบรวมข้อมูลประชากร จำนวนหลังคาเรือน แผนการอพยพ และการตั้งศูนย์พักพิงสำหรับแต่ละโซน เตรียมสิ่งของที่จำเป็นในศูนย์พักพิง โรงครัว หน่วยแพทย์ สุขา พร้อมรองรับประชาชน

5. ให้ 3 อำเภอที่ไม่มีเหตุอุทกภัยตั้งทีมอาสาสมัครเพื่อพร้อมเข้าสนับสนุนหากเกิดเหตุ เช่น การกรอกกระสอบทราย การอำนวยความสะดวกการจราจรหรือการเข้าอพยพประชาชน

6. ให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอ่างทอง ดำเนินการขยายวงเงินเพื่อสนับสนุนการทำงานของอำเภอให้เป็นไปโดยราบรื่น

นอกจากนี้ยังกำชับให้เร่งตรวจสอบคันป้องกันน้ำโดยเฉพาะในพื้นที่ 4 อำเภอ ประกอบด้วย ไชโย อำเภอเมือง ป่าโมก และวิเศษชัยชาญ ให้แก้ไขให้มั่นคงแข็งแรงรองรับการปรับเพิ่มการระบายน้ำในช่วง 3-4 วันนี้ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด

สำหรับสถานการณ์ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยพลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
ลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจเร่งด่วน เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางการระบายน้ำในพื้นที่ทุ่งเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ที่ลานอเนกประสงค์วัดสุทธาวาส ตำบลคลองหลวงแพ่ง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งสถานการณ์ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างเข้าสู่ภาวะที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการเผชิญกับปัจจัยซ้อนทางอุทกภัยถึง 3 ระลอกพร้อมกัน ได้แก่ 1. น้ำเหนือหลากและน้ำท่วมขังเดิมในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง โดยเฉพาะทุ่งรับน้ำต่าง ๆ มีปริมาณน้ำสะสมในระดับสูง 2. น้ำทะเลหนุนสูง ทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ช้าลงอย่างมาก และ 3. น้ำฝนจากอิทธิพลของพายุ “คัลแมกี” ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 นั้น ทำให้ศักยภาพการระบายน้ำลดลง และเพิ่มความเสี่ยงที่ประชาชนจะได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างและยาวนานขึ้น

นายสุรศักดิ์ เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและทำงานร่วมกันในเชิงรุก ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมอู่ทหารเรือ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้สำรวจและกำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำหรือเรือผลักดันน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก จำนวน 10 จุด เรือผลักดันน้ำ 50 ลำ คาดการณ์สามารถผลักดันน้ำไดั 5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ กระทรวง อว. ได้ทำงานเชิงรุกร่วมกับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ โดยมีหน่วยงานหลักอย่าง สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) และ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ที่จะร่วมกันบูรณาการข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่ อาทิ ข้อมูลดาวเทียมจากดาวเทียมสำรวจโลก THEOS-2 ในการติดตามและจัดทำแผนที่พื้นที่น้ำท่วมจริง (Real-time Flood Extent) ทำให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว และแอปพลิเคชัน Thai Water ครอบคลุมสถานการณ์น้ำในปัจจุบันและสามารถคาดการณ์ล่วงหน้า เช่น ปริมาณฝน ระดับน้ำในแม่น้ำและเขื่อน คลื่นลมในทะเล พายุ และคุณภาพอากาศ นอกจากนี้ การบูรณาการข้อมูลจะทำให้หน่วยงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถวางแผนการระบายน้ำล่วงหน้า กำหนดจุดติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำได้อย่างตรงจุด และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงได้อย่างทันท่วงที ซึ่งเป็นความมุ่งหวังของ อว. ที่จะใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่มีอยู่ บรรเทาผลกระทบและปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของทุกคนให้ได้มากที่สุด

ขณะที่การให้บริการด้านสาธารณสุขกับผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 8 จังหวัด ได้แก่ ตาก สุโขทัย นครสวรรค์ ชัยนาท อุทัยธานี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสิงห์บุรี รวม 47 อำเภอ มีผู้เสียชีวิตคงที่ 6 ราย ทั้งหมดเกิดจากการจมน้ำในพื้นที่พระนครศรีอยุธยา 5 ราย และชัยนาท 1 ราย ด้านสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น 22 แห่ง เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทั้งหมด โดยอยู่ในจังหวัดสุโขทัย 4 แห่ง และพระนครศรีอยุธยา 18 แห่ง ส่วนใหญ่น้ำท่วมบริเวณชั้นล่าง ระดับน้ำมีตั้งแต่ 5 เซนติเมตรจนถึงกว่า 2 เมตร โดย รพ.สต.วัดตะภู น้ำท่วมสูงกว่า 2.45 เมตร ภาพรวมมีสถานบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบสะสม 27 แห่ง ทั้งหมดยังเปิดให้บริการได้ รวมถึงโรงพยาบาลป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ก็สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติเช่นกัน สำหรับการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขดำเนินการเพิ่มขึ้น 9,868 ครั้ง สะสม 210,210 ครั้ง โดยเฉพาะบริการเยี่ยมบ้านและสุขภาพจิต มีการดูแลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่รวม 1,962 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงในชัยนาท สุโขทัย และพระนครศรีอยุธยา รวมถึงให้การสนับสนุนยาและเวชภัณฑ์รวม 182,525 หน่วย เพิ่มขึ้น 20,837 หน่วย ซึ่งในภาพรวมสถานการณ์เริ่มคลี่คลายหลายจังหวัดในภาคเหนือตอนบน แต่ปริมาณน้ำเริ่มลงมาบริเวณภาคกลาง จึงยังต้องเฝ้าระวังน้ำล้นและน้ำท่วมในลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมถึงทั้ง 8 จังหวัดที่ยังมีน้ำท่วมจำนวนมาก

ได้กำชับให้พื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะภาคกลางที่ต้องรับน้ำเหนือ ดำเนินการด้านการแพทย์และสาธารณสุข 5 เรื่องหลัก คือ

1. ดูแลประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม โดยจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในอำเภอที่น้ำยังท่วมขัง โดยเฉพาะสุโขทัย พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี และอ่างทอง เยี่ยมบ้านกลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้ป่วยติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงอายุ รวมถึงจัดบริการสุขภาพเคลื่อนที่ (Mobile Health Point) ในศูนย์พักพิง

2. ควบคุมโรคและสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม โดยหลังน้ำเริ่มลดให้กำจัดลูกน้ำยุงลาย ฉีดพ่นกำจัดยุงลายตัวแก่ ดูแลน้ำดื่มน้ำใช้ น้ำสะอาด ให้ครอบคลุม และประสานการกำจัดซากสัตว์ ขยะลอยน้ำ เพื่อป้องกันโรคฉี่หนูและโรคผิวหนัง

3. ฟื้นฟูสถานบริการสุขภาพ โดยเฉพาะ รพ.สต. 22 แห่งที่ได้รับผลกระทบใหม่ ให้เปิดบริการในจุดปลอดภัย ตรวจคลังยาและเวชภัณฑ์สำรองให้เพียงพอ 7 วัน โดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อ ยากันยุง ยาน้ำกัดเท้า และเตรียมรถพยาบาล เรือท้องแบน เจ้าหน้าที่ EMS ในสุโขทัย พระนครศรีอยุธยา และสิงห์บุรี เพื่อรองรับเหตุฉุกเฉิน

4. ดูแลสุขภาพจิตและสื่อสารความเสี่ยง โดยส่งทีม MCATT เยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิต และสื่อสารเตือนภัยสุขภาพ เน้น “การล้างมือ รับประทานอาหารปรุงสุกสะอาด”

5. เตรียมพร้อมล่วงหน้า โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC)
ทุกจังหวัดที่เตรียมรับน้ำเพิ่มเติมอยู่ในระดับตื่นตัว (Alert) และเปิดศูนย์หากสถานการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้น และเตรียมพร้อมทีมปฏิบัติการฉุกเฉินระดับเขตสุขภาพ 2–4 สนับสนุนข้ามจังหวัด หากสถานการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง