“ภราดร” ติดตามสถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำ 99% ประเมินรายวัน เร่งระบายน้ำเข้าทุ่งเพิ่ม

นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีผู้แทนจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกรมชลประทาน ร่วมประชุม โดยนายภราดร กล่าวว่า การประเมินน้ำไหลเข้าจะมีประมาณวันละ 90 ล้านลูกบาศก์เมตร คาดว่าหากยังคงมีน้ำเช่นนี้ไปไม่เกิน 3 วัน น้ำในเขื่อนภูมิพลจะเต็มความจุ เมื่อเต็มความจุจะต้องระบายน้ำในปริมาณที่ควบคุมได้ยาก ฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้ต้องประเมินเพื่อให้มีการระบายน้ำเพิ่มใน 2-3 วันนี้ อย่างไรก็ตามขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงของการประเมิน โดยน้ำที่เขื่อนภูมิพลระบายมาทั้งหมดจะมาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ และจะลงต่อที่เขื่อนเจ้าพระยา หากน้ำที่เขื่อนภูมิพลลงมาเติมจะทำให้ปริมาณการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้พื้นที่ใต้เขื่อนได้รับผลกระทบมากขึ้นตั้งแต่สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา จนถึงกรุงเทพมหานคร

กรมชลประทาน แจ้งว่า จะรับการระบายน้ำเข้าไปในด้านตะวันตกและตะวันออกเพิ่มขึ้น เมื่อน้ำระบายเข้าฝั่งตะวันตกและตะวันออกมากขึ้น จะนำเข้าสู่ระบบชลประทานและอาจจะระบายเข้าไปในทุ่งที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมเพิ่มเติมมากขึ้น จึงจำเป็นต้องแจ้งประชาชนในเขตพื้นที่ที่อยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมว่าในช่วง 2-3 วันนี้ หากสถานการณ์น้ำไม่ดีขึ้นมีความจำเป็นต้องระบายน้ำเข้าไปเก็บไว้ในทุ่งเพิ่มเติมมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ส่วนสถานการณ์ที่เขื่อนสิริกิติ์ คาดการณ์ว่าในช่วง 2 วันจากนี้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนสิริกิติ์จะลดลงเป็นลำดับ ทำให้สามารถลดปริมาณการระบายน้ำที่เขื่อนสิริกิติ์จาก 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ให้เหลือ 5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน จะทำให้น้ำที่จะไปเติมที่จังหวัดนครสวรรค์และที่ชัยนาทและไปที่เขื่อนเจ้าพระยาไม่เพิ่มขึ้นมากนัก
จะมีการติดตามและประเมินสถานการณ์ในช่วง 2-3 วันนี้อย่างใกล้ชิด โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะบริหารจัดการน้ำที่มีปริมาณมากในรอบปีนี้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุดและจะทำให้กระทบกับประชาชนให้น้อยที่สุด

ด้านนายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมปรึกษาหารือการติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์ เพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยนายไพฑูรย์ เปิดเผยว่า ในปีนี้มีฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยามากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2565 โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่มีฝนตกหนักจากอิทธิพลทางอ้อมของพายุ “คัลแมกี” ส่งผลให้มีปริมาณน้ำระลอกใหม่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลเพิ่มเติม ปัจจุบันเหลือช่องว่างรองรับน้ำอยู่อีกเพียงประมาณ 127 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ที่ประชุมจึงได้หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการน้ำโดยไม่ต้องเปิดทางระบายน้ำล้นฉุกเฉินของเขื่อน (Spillway) โดยมีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนภูมิพลจากอัตราเดิม 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 48 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน จากนั้นในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 จะปรับเพิ่มเป็น 53 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 จะปรับเพิ่มเป็น 55 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน หากจำเป็นต้องระบายน้ำเพิ่มเติมจะไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ทั้งนี้ปริมาณน้ำดังกล่าวจะไหลต่อเนื่องลงสู่พื้นที่ตอนล่าง คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์สูงสุดประมาณ 3,100 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน +17.77 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง เป็นประมาณ +18.00 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจังหวัดอุทัยธานีและชัยนาท ในส่วนของท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จะเริ่มเพิ่มการระบายน้ำตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จากอัตรา 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2554 ที่มีการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุด 3,700 ลบ.ม. ต่อวินาที

ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน ในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะในบางจังหวัดที่ประสบปัญหามาเป็นระยะเวลานานหลายเดือน เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงมีความพยายามอย่างยิ่งเพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด โดยขณะนี้ได้ประสานกรมชลประทานเพื่อระบายน้ำเข้าสู่ทุ่งลุ่มต่ำที่ยังมีพื้นที่รองรับเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามจากข้อจำกัดบางประการ จึงต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและรอบคอบ แต่จะเร่งดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพ และจะระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อนเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด คาดว่าการระบายน้ำชุดนี้จะเป็นชุดสุดท้ายของฤดูฝนปี 2568 เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ประเมินว่า ฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลงตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ และไม่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพายุเพิ่มเติม เนื่องจากมวลความกดอากาศสูงได้แผ่เข้าปกคลุมพื้นที่ โดยฝนจะเคลื่อนตัวไปตกหนักในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น คาดว่าจะสามารถเริ่มระบายน้ำในอัตราต่ำกว่า 1,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ได้ในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 2 – 3 ของเดือนธันวาคม

ขณะที่กรมชลประทานรายงานว่า เขื่อนเจ้าพระยา ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. วันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 จากอัตรา 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็นอัตรา 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที ภายในเวลา 02.00 น. ของวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง จึงขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นอกคั้นกันน้ำบริเวณพื้นที่ดังต่อไปนี้

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คลองบางบาล ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ ตำบลบ้านกระทุ่ม อำเภอเสนา ตำบลบ้านกุ่ม อำเภอบางบาล ตำบลบ้านโพ อำเภอบางปะอิน และตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา

จังหวัดสิงห์บุรี วัดสิงห์ อำเภออินทร์บุรี อำเภอเมือง อำเภอพรหมบุรี วัดเสือข้าม อำเภออินทร์บุรี และตำบลอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี

จังหวัดอ่างทอง คลองโผงเผง อำเภอป่าโมก ตำบลเทวราช อำเภอไชโย ตำบลตลาดกรวด ตำบลย่านซื่อ ตำบลบ้านแห ตำบลจำปาหล่อ ตำบลมหาดไทย ตำบลโพสะ อำเภอเมือง ตำบลบางจัก ตำบลสี่ร้อย ตำบลท่าช้าง ตำบลไผ่จำศีล ตำบลศาลเจ้าโรง อำเภอวิเศษชัยชาญ ตำบลโพธิ์รังนก ตำบลบ่อแร่ ตำบลบางระกำ และตำบลองครักษ์ อำเภอโพธิ์ทอง

จังหวัดชัยนาท ตำบลโพนางดำออก บ้านท่าทราย ตำบลตลุก ตำบลหาดอาษา และตำบลสรรพยา อำเภอสรรพยา

เฝ้าระวังและติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด และยกของขึ้นที่สูง หากระดับน้ำทางตอนบนเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น จะแจ้งให้ทราบเป็นระยะต่อไป ทั้งนี้
กรมชลประทาน ได้เร่งระบายน้ำผ่านสถานีสูบน้ำตามแนวคลองชายทะเล รวมทั้งสถานีสูบน้ำสุวรรณภูมิออกสู่อ่าวไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำให้เร็วที่สุด

ขณะที่สถานการณ์น้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ติดตามสถานการณ์น้ำและตรวจสอบแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสะพานพุทธ แนวฟันหลอหน้าร้านอาหารโรงรส ท่าเตียน เพื่อประเมินสภาพความแข็งแรงของแนวป้องกันน้ำหนุน รวมถึงตรวจสอบจุดเสี่ยงที่อาจเกิดการรั่วซึมหรือน้ำทะลักเข้าสู่พื้นที่ชุมชนและย่านสำคัญในเขตพระนครซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา นายชัชชาติ อธิบายว่า กรุงเทพมหานครใช้วิธี “สูบสู้” คือ สูบน้ำจากท่อที่เก็บน้ำที่รั่วหรือซึมออกมากลับไปยังแม่น้ำ เพื่อไม่ให้ไหลลงถนน พร้อมย้ำว่า ขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังไม่น่าเป็นห่วง เขื่อนยังสูง จะมีบางจุดที่เป็นจุดฟันหลอ มีน้ำซึมออกมาบ้างแต่ไม่มาก สถานการณ์โดยรวมยังควบคุมได้ดี มีทีมงานอยู่หน้างานตลอด หากพื้นที่ใดมีปัญหาสามารถแจ้งเข้ามาได้

จากการตรวจสอบพบว่าแนวป้องกันน้ำในหลายจุดยังอยู่ในสภาพมั่นคงดี พร้อมมอบหมายให้เร่งดำเนินการเสริมแนวกระสอบทรายเพิ่มเติมบริเวณรอบร้านอาหารโรงรส เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการทรุดตัวของผนังอาคาร และลดความเสี่ยงที่น้ำจะไหลบ่าเข้าพื้นที่สำคัญโดยรอบ ด้านสำนักการระบายน้ำได้เตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ เครื่องสูบน้ำ และอุปกรณ์ป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเฝ้าระวังระดับน้ำทะเลหนุนสูงที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ โดยยืนยันว่ากรุงเทพมหานคร มีมาตรการรองรับและระบบป้องกันน้ำท่วมพร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อคุ้มครองพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนริมแม่น้ำให้ปลอดภัยสูงสุด

ในส่วนของสำนักงานเขตพระนครได้มีแผนในการเร่งเสริมกระสอบทราย เสริมความมั่นคงแข็งแรง ป้องกันน้ำล้นทะลัก และจะได้มีการสร้างสะพานไม้ชั่วคราวเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้สัญจร รวมทั้งเตรียมกระสอบทรายสำรองไว้ในจุดใกล้เคียงเพื่อใช้ในกรณีเร่งด่วน พร้อมมอบหมายให้ฝ่ายโยธาสำรวจท่าเรือและจุดเสี่ยงทุกแห่ง เพื่อเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำ รวมถึงเสริมกระสอบทรายในจุดที่จำเป็นเร่งด่วนโดยเฉพาะท่าเรือ เพื่ออำนวยความสะดวกในการสัญจรให้กับประชาชน และบล็อกน้ำไม่ให้ล้นออกมาท่วมทางสัญจรหรือบ้านเรือนประชาชน ทั้งนี้สำนักงานเขตพระนครและกรุงเทพมหานครได้พยายามแก้ไขปัญหาให้ดีที่สุด ซึ่งในจุดที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษจะมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง

ส่วนการโอนเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 ซึ่งจะเยียวยาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดสถานการณ์ขึ้นตั้งแต่ช่วงวันที่ 15 พฤษภาคม – 6 ตุลาคม 2568 ในอัตราเดียวกัน ครัวเรือนละ 9,000 บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานว่า จากข้อมูลเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 เวลา 13.30 น. ได้โอนเงินช่วยเหลือแล้ว รวม 4 ครั้ง ให้แก่ประชาชนผู้ประสบภัย 65 จังหวัด รวมโอนสำเร็จ 143,464 ครัวเรือน เป็นเงิน 1,291.176 ล้านบาท อยู่ระหว่างรอโอน 90,200 ครัวเรือน ส่วนวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ได้โอนเงิน ครั้งที่ 5 ให้แก่ประชาชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ ลำพูน ระยอง และอุตรดิตถ์ จำนวน 2,800 ครัวเรือน และในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ปภ. และธนาคารออมสิน จะโอนเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครั้งที่ 6 ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชัยนาท เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เลย หนองคาย และพระนครศรีอยุธยา จำนวน 8,903 ครัวเรือน ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน

เพื่อให้การรับเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ปภ. จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขบัตรประจำตัวประชาชนให้เรียบร้อย หากยังไม่ได้ผูกบัญชีฯ ขอให้ติดต่อธนาคารใดก็ได้ เพื่อผูกบัญชีโดยเร็ว ซึ่งประชาชนสามารถตรวจสอบสถานะรับเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยช่วงฤดูฝน ปี 2568 ผ่านช่องทาง https://flood68.disaster.go.th/Dashboard/BoardHelpRegister โดยระบุหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนในการตรวจสอบ เพื่อติดตามการช่วยเหลือเยียวยาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

สำหรับข้อห่วงใยของนายกรัฐมนตรี เรื่องการชดเชยเยียวยาเพิ่มเติมสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบและท่วมน้ำเป็นเวลามากกว่า 30 วันและ 60 วัน รัฐบาลจะพิจารณาชดเชยเงินเยียวยาเพิ่มเติม ซึ่งจะนำเข้าพิจารณาในการประชุมคณะรัฐมนตรีเร็ว ๆ นี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง