นายกฯ สั่งระงับปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา โดยไม่มีกำหนด เพิ่มมาตรการทางทหาร ทักท้วงทางการทูต และดูแลความปลอดภัยประชาชน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการ ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หารือกรณีทหารไทย 4 นาย ที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด บริเวณห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้กับปราสาทเขาพระวิหาร ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน

ภายหลังการประชุม พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงผลประชุมว่า
ที่ประชุมมีการพิจารณา 3 เรื่องหลัก คือ 1. กำลังพลของกองทัพไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ โดยได้แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ 2. การที่มีทุ่นระเบิดในเขตพื้นที่ของไทยถือว่ามีผลกระทบต่ออธิปไตย และ 3. รัฐบาลจะปกป้องอธิปไตย ชีวิตของคนไทย และทหารไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติระงับทุกการปฏิบัติตามข้อตกลงถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย หรือ Joint Declaration by the Prime Minister of the Kingdom of Cambodia and the Prime Minister of the Kingdom of Thailand on the outcomes of their meeting in Kuala Lumpur, Malaysia (JD) ทั้งหมด และยุติการส่งเชลยศึก 18 นาย ให้กับกัมพูชา

พลเอก ณัฐพล ระบุว่า กองทัพไม่ได้คาดหวังความจริงใจจากกัมพูชาอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่เป็นการกระทำฝ่ายเดียวของเรา เราจะดำเนินการต่อ การปฏิบัติการของไทยขณะนี้ถือเป็นการยกระดับมาตรการแล้ว เป็นการปฏิบัติการทางทหารในเขตอธิปไตยของไทยแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนการเก็บกู้ทุ่นระเบิดขอทำความเข้าใจว่ามี 2 ระดับ คือ ระดับหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ มีขีดความสามารถในการเก็บกู้ได้เอง ที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ที่ปฏิบัติการอยู่เป็นประจำ แต่หน่วยทหารที่ปฏิบัติการในพื้นที่สามารถเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้ และการเก็บกู้ที่เป็นทางการ ได้มาตรฐานอย่างเต็มรูปแบบ คือ การเก็บกู้โดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ TMAC ซึ่งกองทัพไทยเป็นผู้รับผิดชอบ โดยมี 5 พื้นที่ที่ TMAC จะเข้าไปเก็บกู้ ปัจจุบันเข้าปฏิบัติงานแล้ว 4 พื้นที่ เหลือ 1 พื้นที่ที่กัมพูชายังไม่ตอบรับ หลังจากนี้พื้นที่ที่ 5 ไทยจะเข้าเก็บกู้เลย

ส่วนกรณีมีการแอบรื้อรั้วลวดหนาม แล้วเข้ามาวางทุ่นระเบิดฝั่งไทย เรามีกฎการใช้กำลัง มีขั้นตอน จากการเตือน การยิงจากอาวุธเบาไปหาหนัก ขอให้มั่นใจว่า หลังจากนี้การปฏิบัติการทางทหาร ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม สมช. ให้ปฏิบัติการได้ตามสถานการณ์ และยืนยันว่าหลังจากนี้จะไม่มีการเจรจา ทั้งในส่วนของตนเอง กระทรวงกลาโหม หรือระดับคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา แต่การพูดคุยระหว่างประเทศมีกระบวนการสากลอยู่

ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการละเมิดการปฏิบัติตามถ้อยแถลงระหว่างไทย – กัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศ ได้ประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังกัมพูชา และตามอนุสัญญาออตตาวา และชี้แจงท่าทีของไทยต่อสหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย ที่ได้ร่วมลงนามเป็นสักขีพยานในการลงนามตามข้อตกลง และชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประชาคมโลก โดยประสานไปทางกองทัพไทย และกองทัพบก เพื่อนำข้อเท็จจริงต่าง ๆ ไปชี้แจงเพื่อให้เกิดความหนักแน่น และชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากต้องการให้กลับไปสู่สิ่งที่ควรจะเป็น ฝ่ายกัมพูชาต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการแสดงความเสียใจ การตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ และมีมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีก

ทั้งนี้การที่เราต้องยืนยันที่จะประท้วง เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงที่เรามีอยู่ และให้ประชาคมโลกเกิดความเข้าใจสาเหตุที่เราต้องระงับการปฏิบัติตามข้อตกลงทุกข้อที่ลงนามไว้ เช่น การถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ เว้นแต่เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่เราดำเนินการของเราเองได้ ไม่ใช่การประท้วงเพียงอย่างเดียว และการประท้วงที่ว่าถือเป็นการประณามในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ยังต้องดูท่าทีการตอบสนองของกัมพูชาด้วย ส่วนกรณีที่กัมพูชาชี้แจงว่าเป็นทุ่นระเบิดเก่า นั้นฝ่ายไทยเห็นว่าสิ่งที่ชี้แจงมายังไม่เพียงพอ และยังไม่พอใจ จากนี้คงต้องรอดูว่ากัมพูชาจะมีท่าทีอย่างไรต่อการตัดสินใจของไทยในครั้งนี้

ขณะที่นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 กระทรวงการต่างประเทศ จะบรรยายสรุปข้อเท็จจริงแก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยทั้งหมด เพื่อชี้แจงท่าทีไทยต่อเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด โดยนายสีหศักดิ์ ได้สั่งการให้เวียนผลสรุปการชี้แจงทั้งหมดนี้ให้กับสถานเอกอัครราชทูตไทยที่อยู่ในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อสามารถชี้แจงต่อประเทศต่าง ๆ ให้เข้าใจท่าทีของไทยได้สอดคล้องกันทั่วโลก ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงจะเดินหน้าชี้แจงกับคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนอย่างเต็มที่ ไทยยืนยันความมุ่งมั่นที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยและจะทำอย่างเต็มที่ให้ข้อตกลงต่าง ๆ ได้รับความเคารพและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ขอเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบด้วยความจริงใจและสุจริตใจและให้คำมั่นที่จะสอบสวนกรณีดังกล่าวอย่างจริงจัง และดำเนินการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก

นอกจากนี้ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด โดยสั่งการไปยังพลเอก ณัฐพล ให้ยุติการดำเนินการตามปฏิญญาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไว้ก่อน โดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้ยื่นประท้วงประเทศกัมพูชาแล้ว หากไม่มีการชี้แจงหรือแสดงท่าทีใด ๆ ไทยจะพิจารณายกเลิกปฏิญญาต่อไป หากจำเป็นต้องมีมาตรการทางทหาร ขอให้พลเอก ณัฐพล ดำเนินการได้ตามสมควร แล้วรายงานให้ทราบต่อไป นอกจากนี้ ยังขอให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องทบทวนมาตรการต่าง ๆ ที่เป็นการดำเนินการเกี่ยวกับประเทศกัมพูชา เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งขอให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข เตรียมการซักซ้อมมาตรการอำนวยความสะดวก กรณีมีเหตุจำเป็นสำหรับประชาชนทั้ง 7 จังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับกัมพูชา คือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด และเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ ดูแลโรงพยาบาลต่าง ๆ ให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดโดยเฉพาะการปกป้องโรงพยาบาลและการอพยพผู้ป่วย หรือเตรียมแผนการรองรับสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้น รวมถึงโรงเรียนและชุมชน หมู่บ้านที่มีความเสี่ยงสูงด้วย อย่างไรก็ตามไทยได้โต้ตอบกัมพูชาตามสมควร โดยเฉพาะเรื่องแรงงาน ที่ทำออกมาในเชิงสัญลักษณ์ คือ ไม่ขยายอายุแรงงานกัมพูชา

นายกรัฐมนตรี ยังได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นความสูญเสียที่ไม่ควรเกิดขึ้นในผืนแผ่นดินไทย พร้อมแจ้งที่ประชุม ครม. ถึงผลการประชุม สมช. ที่มีมติให้กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศ “ระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration)” ที่ได้ลงนามไว้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ อย่างไม่มีกำหนด จนกว่าสถานการณ์ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาจะคลี่คลายลง รวมทั้งเน้นย้ำให้กระทรวงกลาโหมเพิ่มมาตรการทางทหารอย่างเข้มงวด เพื่อพิทักษ์รักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกองพันทหารราบที่ 162 (ร.16 พัน.2) ที่ฐานปฏิบัติการห้วยตามาเรีย และกองพันทหารราบที่ 11 ฐานปฏิบัติการอินทุมาน (ภูมะเขือ) อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ และได้ร่วมร้องเพลงชาติไทยกับกำลังพลและผู้บริหารที่ร่วมลงพื้นที่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการได้เห็นทุ่นระเบิดที่ขณะนี้เหลือ 3 ทุ่น พบว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่วางในเขตดินแดนไทย ซึ่งกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้พัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างฐาน การสร้างที่กำบัง การสร้างถนนเลียบแนวชายแดน และการวางลวดหนามตามแนวชายแดน พร้อมลาดตระเวนพิสูจน์ทราบพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อป้องกันกำลังทหารประเทศเพื่อนบ้านเข้ามายึดพื้นที่ โดยในการลาดตระเวนทำให้ได้พบว่าหลาย ๆ จุด จะมีทั้งทุ่นระเบิดเก่าและใหม่ปะปนกัน โดยเฉพาะตามฐานที่มั่นของทหารประเทศเพื่อนบ้านที่พบมีวัตถุระเบิดหนาแน่น ส่งผลทำให้เป็นอันตรายต่อการปฏิบัติงาน จึงต้องมีการตรวจสอบทุ่นระเบิดในพื้นที่อย่างละเอียดก่อนเข้าปฏิบัติงาน สำหรับทุ่นระเบิดที่ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ เป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่คาดว่าจะถูกฝังไม่เกิน 1 วัน

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่บาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด

หลังมีข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กองการต่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหน่วยงานประสานกลางการปฏิบัติด้านกิจการต่างประเทศ กิจการชายแดน และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เชิญผู้บริหารระดับสูงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค ประชุมเตรียมการรับมือสถานการณ์ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมประชาชนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงมหาดไทย และผ่านระบบ Video Conference และได้สั่งการให้กรมการปกครอง สั่งการฝ่ายปกครองของ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมความพร้อมปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง โดยยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด รวม 5 ข้อ ได้แก่

1. เตรียมความพร้อมปฏิบัติแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง โดยปรับแผนจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เคยเกิดขึ้น ให้มีความพร้อมปฏิบัติโดยทันที 100%

2. ให้ฝ่ายปกครองเป็นหน่วยหลักประสานการปฏิบัติกับทุกหน่วยเพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นเอกภาพ ดูแลประชาชนให้ปลอดภัยที่สุด

3. ให้ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เฝ้าระวังหาข่าว สร้างความเข้าใจประชาชนให้ได้ตระหนักรู้ ไม่ให้ตื่นตระหนกจากข่าวปลอมที่อาจเกิดขึ้น และหากต้องดำเนินการตามแผนอพยพ ต้องดำเนินการด้วยความเรียบร้อย เป็นระบบ ปลอดภัย

4. ดำรงการสื่อสารของฝ่ายปกครองทุกระบบตลอด 24 ชั่วโมง

5. ให้ผู้บังคับบัญชาฝ่ายปกครองทุกระดับ ทั้งปลัดจังหวัด นายอำเภอ ปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ทุกส่วนประจำอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบตลอดเวลา

สำหรับการเตรียมพร้อมด้านสาธารณสุขตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กำชับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เตรียมความพร้อมตามมาตรการรับสถานการณ์ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ภาวะปกติ (สีเขียว) ให้ติดตามเฝ้าระวัง ภาวะฉุกเฉินระดับ 1 (สีเหลือง) ระดับตื่นตัวไปจนถึงภาวะฉุกเฉินระดับ 4 (สีแดง) ที่มีการตั้งศูนย์อพยพ โดยทุกหน่วยงานให้เตรียมจัดการภาวะฉุกเฉินทั้งระยะก่อนเกิดเหตุ คือ จัดทำแผนการแพทย์ร่วมกับแผนอพยพ เตรียมกำลังคน สำรองเวชภัณฑ์ เตรียมพื้นที่และระบบสำหรับจุดปฐมพยาบาล จัดระบบสื่อสารสำหรับการแจ้งเตือนภาวะฉุกเฉิน สำรวจข้อมูลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ ระยะเกิดเหตุ ให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการสาธารณสุข ปิดโรงพยาบาลในเขต Hot Zone ให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ เฝ้าระวังและควบคุมโรค ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต สื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ ติดตามข้อมูลสุขภาพผู้ได้รับผลกระทบ และระยะหลังเกิดเหตุ โดยฟื้นฟูสุขภาพประชาชนและระบบบริการสุขภาพ และให้มีการทำความเข้าใจกับบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยด้วย

สำหรับแผนอพยพส่งต่อผู้ป่วยจากโรงพยาบาลเสี่ยงใน 7 จังหวัด รวม 22 แห่ง ได้เตรียมโรงพยาบาลรับส่งต่อไว้ 54 แห่ง รองรับผู้ป่วยวิกฤตได้ 268 เตียง ผู้ป่วยทั่วไป 3,048 เตียง และหากมีการตั้งศูนย์อพยพ หน่วยงานสาธารณสุขพร้อมจัดทีมดูแลอย่างครอบคลุม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง