นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม หลังจากได้รับรายงานจากนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ในช่วง 2 – 3 วันนี้ เป็นช่วงที่ต้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการระบายน้ำจากเขื่อนหลักๆ อย่างเขื่อนภูมิพล ซึ่งการระบายน้ำนี้ อาจจะทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะไหลลงมายังภาคกลางและกรุงเทพมหานคร มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำจำเป็นต้องผันน้ำออกทาง 2 ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่เกษตรกรรมและบ้านเรือนของประชาชนที่อาศัยบริเวณโดยรอบ
นายกรัฐมนตรีได้กำชับไปยังทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กรมชลประทาน และทางจังหวัดประสานงานกัน ช่วยแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการผันน้ำให้รับทราบล่วงหน้าอย่างชัดเจน เพื่อให้มีเวลาเตรียมตัวและขนย้ายข้าวของ รวมทั้งเร่งรัดการให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่จะได้รับผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าวโดยเร็วที่สุด และสั่งการให้ นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ได้ร่วมปรึกษาหารือกับ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการพิจารณาอัตราเงินช่วยเหลือเยียวยาใหม่สำหรับพื้นที่ที่จะเป็นพื้นที่รับน้ำ และยังให้พิจารณาอัตราเยียวยาสมทบสำหรับประชาชนที่บ้านเรือนอยู่ในน้ำเกิน 30 วัน โดยเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2568 รวมทั้ง นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ
นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ดูแลเรื่องการช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็ว และให้แบ่งหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่กันให้ชัดเจน
ด้านนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมติดตามและบริหารจัดการสถานการณ์น้ำ ว่า ได้มีการประเมินสถานการณ์ ซึ่งมีความน่าเป็นห่วง และตัวเลขการระบายน้ำที่ประเมินไว้ คือ 90 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ขณะที่การระบายของเขื่อนภูมิพล มีเพียงแค่ 45-48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน นั่นหมายความว่าเขื่อนภูมิพลจะต้องรับน้ำสะสมประมาณ 40 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ขณะที่ความจุของเขื่อนอยู่ที่ประมาณ 100 กว่าล้านลูกบาศก์เมตร ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้เขื่อนภูมิพลก็จะเต็ม เมื่อเขื่อนเต็มต้องระบายน้ำเพิ่ม ขึ้นเป็น 50-55 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งขณะนี้กรมชลประทาน ระบายน้ำอยู่ที่ 2,900 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งต้องหาวิธีการระบายน้ำเพิ่ม พร้อมทั้งต้องหาทางแก้ไข โดยใช้เขื่อนสิริกิติ์ เพราะปริมาณน้ำเข้าเขื่อนไม่มากเท่าเขื่อนภูมิพล สามารถลดการระบายน้ำของเขื่อนสิริกิติ์ได้ โดยลดวันละ 5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน จะทำให้การเติมน้ำลงแม่น้ำเจ้าพระยาลดน้อยลงได้
โดยกรมชลประทาน จะระบายน้ำออก ทั้งทางฝั่งตะวันตก และตะวันออกเพิ่มขึ้น ซึ่งเดิมระบายอยู่ที่ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะระบายเป็น 600-650 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อให้เพียงพอต่อปริมาณของเขื่อนภูมิพล เมื่อเป็นเช่นนั้นปริมาณน้ำที่ระดับแม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะคงอยู่ที่ปริมาณเดิมได้ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมา คือพื้นที่ฝั่งตะวันตกและตะวันออกที่จะต้องรับน้ำเพิ่ม อาจจะได้รับผลกระทบบ้าง จึงได้กำชับว่าการเอาน้ำเข้าทุ่ง ควรระบายน้ำเข้าไปในปริมาณที่พอสมควร ไม่ให้ประชาชนต้องได้รับผลกระทบ
สำหรับมาตรการในการเยียวยา ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสำรวจเพิ่มเติมนั้น จะมีการอนุมัติเพิ่มเป็นรอบ เพื่อไม่ให้ล่าช้า ส่วนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในช่วงหน้าฝนได้รับเงินเยียวยาไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังดูมาตรการเพิ่มเติมสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบยาวนาน เรียกว่าอยู่ในน้ำยาวนาน 2-3 เดือน โดยนายกรัฐมนตรีมีแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติม รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือเกี่ยวกับการดีดบ้านให้สูงขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประชุมติดตามสถานการณ์น้ำทั่วประเทศ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้สถานการณ์น้ำในลุ่มเจ้าพระยายังอยู่ภายใต้การควบคุม แต่จำเป็นต้องเร่งระบายน้ำออกจากเขื่อนหลัก เพื่อป้องกันผลกระทบต่อพื้นที่ตอนล่าง เขื่อนภูมิพลได้ระบายน้ำลงมาแล้วประมาณ 48 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และเขื่อนกิ่วลมระบายเพิ่มอีก 6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน รวมแล้วมีปริมาณน้ำไหลเข้าสู่ลำน้ำเจ้าพระยาประมาณ 54 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยมีอัตราไหลที่หน้าเขื่อนเจ้าพระยา 3,537 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งปริมาณน้ำในลุ่มเจ้าพระยาขณะนี้ถือว่าสูง จึงจำเป็นต้องระบายน้ำออกทั้งฝั่งซ้ายและขวา เพื่อไม่ให้น้ำล้นตลิ่ง โดยกรมชลประทานระบายน้ำทั้ง 2 ด้านรวมกัน 637 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อให้สมดุลกับน้ำที่ไหลลงมา และควบคุมระดับน้ำในเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย
ทั้งนี้แม้จะต้องระบายน้ำต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ในจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ ยืนยันว่า จะไม่เลวร้ายไปกว่าปีที่ผ่านมา พร้อมชี้ว่า จากการพยากรณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา ขณะนี้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้เริ่มอ่อนกำลังลง ปริมาณฝนทางภาคเหนือและภาคกลางลดลง แต่จะเคลื่อนตัวไปเพิ่มในพื้นที่ 14 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้สั่งการให้ทุกสำนักชลประทานในพื้นที่เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันไว้แล้ว โดยเมื่อ 3 วันที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่นราธิวาส ยะลา ปัตตานี พัทลุง สตูล และตรัง พบว่าฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะนราธิวาส ปริมาณฝนเกินค่ามาตรฐานเฉลี่ย จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยในภาคใต้เตรียมแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที โดยต้องพร้อมนำเครื่องสูบน้ำและเครื่องผลักดันน้ำระบายออกสู่อ่าวไทยให้มากที่สุด เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน
ในส่วนของลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากการคาดการณ์ของกรมชลประทาน ประมาณสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม 2568 ที่สถานี C2 ค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ การระบายน้ำจะเหลือ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์น้ำล้นตลิ่งในจังหวัดตอนล่างได้ นอกจากนี้ยังได้ประชุมร่วมกับผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร เพื่อประสานการระบายน้ำบางส่วนเข้าสู่ระบบคลองของกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้มีระดับน้ำต่ำกว่าปกติ เพื่อให้สามารถผลักดันน้ำเสียออกจากคลองและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำโดยรวม โดยยืนยันว่า จะไม่กระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครแน่นอน จากการลงพื้นที่ตำบลคูคต จังหวัดปทุมธานี พบว่าระดับน้ำในคลองอยู่ที่ประมาณ 1.5 เมตร ส่วนฝั่งคลองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีเพียง 0.22 เมตร จึงสามารถระบายน้ำเข้าพื้นที่บางส่วนได้โดยไม่กระทบประชาชน และยังช่วยให้การระบายน้ำเสียของกรุงเทพมหานคร มีประสิทธิภาพขึ้น
สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิดความแปรปรวนในระบบน้ำปีนี้ มาจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่ปกติทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ต่างเผชิญฝนหนักและน้ำท่วมขัง ประเทศไทยได้รับอิทธิพลบางส่วน แต่ถือว่ายังสามารถบริหารจัดการได้ในเกณฑ์ดี เพราะมีแผนรองรับและระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่งเตรียมความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ พร้อมบูรณาการกับกรมอุตุนิยมวิทยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อป้องกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติให้ได้มากที่สุด จึงต้องทำงานเชิงรุก ไม่รอให้เกิดเหตุแล้วค่อยแก้ ซึ่งมั่นใจว่า ด้วยการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงาน จะสามารถควบคุมสถานการณ์น้ำได้ และไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงกับประชาชนทั้งภาคกลางและภาคใต้








