นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยนางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และนายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก จัดการบรรยายสรุปแก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย เกี่ยวกับพัฒนาการบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีคณะเอกอัครราชทูตและผู้แทน จาก 59 ประเทศ 1 องค์กร 45 องค์การระหว่างประเทศ รวม 71 คน
นายสีหศักดิ์ กล่าวต่อคณะทูตว่า ไทยกังวลต่อเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่บริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่สัปดาห์ภายหลังนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา ลงนามในถ้อยแถลง (Joint Declaration) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้การเจรจาสันติภาพระหว่างสองประเทศต้องหยุดชะงัก และมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกติดตั้งใหม่ และเป็นการเกิดเหตุต่อเนื่อง ครั้งที่ 7 แล้ว นำมาซึ่งการตั้งคำถามอย่างจริงจังของคนไทยว่าจะต้องเกิดการสูญเสียขาอีกกี่ข้าง เหตุการณ์ดังกล่าวมีความร้ายแรงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อความรู้สึกของสาธารณชนไทย หากได้อ่านความคิดเห็นในสื่อต่างๆ หรือโซเชียลมีเดีย จะสามารถรับรู้ได้เป็นอย่างดีถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งของประชาชนไทยต่อเรื่องนี้ การบรรยายในครั้งนี้ จะทำให้ทุกท่านได้รับทราบถึงรายละเอียด และกระทรวงการต่างประเทศยินดีตอบทุกคำถามและข้อสงสัย
หลังการบรรยายสรุป นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ในการบรรยายครั้งนี้ นายสีหศักดิ์ เป็นผู้บรรยายหลัก ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแจ้งให้คณะทูตต่างประเทศทราบถึงพัฒนาการต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จุดยืนของไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และแนวทางการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่ห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 โดยมีสาระสำคัญในการบรรยายสรุปแก่คณะทูต แบ่งเป็น 4 หัวข้อ ประกอบด้วย
1. เหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ได้รับการยืนยันแล้วว่าเกิดจากการลักลอบวางทุ่นระเบิดใหม่โดยฝั่งกัมพูชา ส่งผลให้กำลังพลบาดเจ็บรวม 4 นาย 1 ในนั้นถึงขั้นทุพพลภาพข้อเท้าขวาขาด พื้นที่ลาดตระเวนดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เคยใช้ลาดตระเวนมาก่อนหน้านี้ แต่จากการเข้าไปพิสูจน์ทราบโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้มีการตรวจพบชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 ภายในหลุมระเบิดและพื้นที่ใกล้เคียง และทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีก 3 ทุ่น บริเวณรอบหลุมระเบิด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง จึงสรุปได้ว่าฝ่ายกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย
2. ท่าทีไทยต่อถ้อยแถลง ยืนยันว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับถ้อยแถลง ที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ลงนามกันที่มาเลเซีย โดยมองภาพว่าเอกสารดังกล่าวเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน แต่ที่สำคัญต้องอาศัยความจริงใจ ความสุจริตใจของทั้ง 2 ฝ่ายที่จะปฏิบัติตาม แต่ภายหลังที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อพิจารณาและประเมินสถานการณ์ โดยที่ประชุมเห็นว่าถึงแม้ประเทศไทยได้ยึดมั่นและมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามถ้อยแถลงมาโดยตลอด และได้เกิดความคืบหน้ามาโดยตลอดในหลายเรื่อง แต่ก็เกิดเหตุฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดถ้อยแถลง โดยลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในเขตไทย ที่ประชุมเห็นว่าการกระทำนี้เป็นการละเมิดอธิปไตยไทยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย นอกจากจะทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ ยังเป็นการละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ ออตตาวา ที่กัมพูชาเป็นภาคี สะท้อนความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาในการที่จะลดระดับความขัดแย้ง ด้วยเหตุผลนี้ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องระงับการดำเนินการตามถ้อยแถลง ซึ่งรวมถึงการชะลอการส่งตัวทหารกัมพูชาที่ฝ่ายไทยกำลังควบคุมตัวอยู่ 18 นาย ออกไปก่อน
ในการนี้ฝ่ายไทยจึงเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการ 3 เรื่อง ได้แก่ 1. แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้
2. ดำเนินการสอบสวนกรณีดังกล่าวและนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ 3. ดำเนินมาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ทั้งนี้ฝ่ายไทยจะพิจารณาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการปฏิบัติตามถ้อยแถลง ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบและแสดงให้เห็นว่าความเป็นปฏิปักษ์ได้ยุติลงแล้ว
3. ได้แจ้งคณะทูตทราบว่าหลังเกิดเหตุได้สื่อสารไปยังนายปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อประท้วงในเบื้องต้นไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน และ 11 พฤศจิกายน 2568 โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ยื่นหนังสือประท้วงผ่านสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยด้วยแล้ว จากนี้ฝ่ายไทยจะดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา และจะมีหนังสือถึงญี่ปุ่น ในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ทั้งนี้จะมีการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาสมัยที่ 22 ระหว่างวันที่ 1-5 ธันวาคม 2568 ฝ่ายไทยจะเดินหน้าชี้แจงกับประชาคมระหว่างประเทศ โดยจะมีหนังสือถึงสหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน โดยทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ในการลงนามถ้อยแถลง โดยจะมีการเวียนหนังสือไปให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศทราบด้วย รวมถึงการบรรยายสรุปแก่คณะทูตในครั้งนี้ด้วย ซึ่งสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ทั่วโลกจะได้รับข้อมูลเช่นเดียวกัน และพร้อมชี้แจงให้แต่ละประเทศทราบท่าทีของไทย ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงจะมีการชี้แจงผ่านคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) อย่างเต็มที่ ล่าสุด AOT จะได้รับเชิญให้มีการลงพื้นที่ในเร็วๆ นี้
4. การลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ของนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสีหศักดิ์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เพื่อรับทราบสถานการณ์จริงในพื้นที่ชายแดน พร้อมกับตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ให้กำลังใจทหารแนวหน้า ณ ฐานปฏิบัติการอินทุมาน (ภูมะเขือ) และเข้าเยี่ยมให้กำลังใจพลทหารที่โรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิด
สำหรับการบรรยายสรุปครั้งนี้คณะทูตมีประเด็นคำถามต่างๆ เช่น แนวทางการดำเนินการของไทยนอกเหนือจากที่ได้แถลงไปแล้วคืออะไร การให้สัมภาษณ์ของ พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นอย่างไร ซึ่งนายสีหศักดิ์ ชี้แจงว่า จากนี้ไป ไทยขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามความจำเป็น เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และไทยจะดำเนินการตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีคณะทูตถามถึงสถานะของถ้อยแถลง หรือแถลงการณ์ร่วม ซึ่งนายสีหศักดิ์ ตอบว่า ปัจจุบัน เราระงับ แต่เมื่อคำนึงถึงความรู้สึกของคนไทยและสาธารณชนไทย เราไม่แน่ใจว่าจะคงสถานะของการระงับไว้ได้นานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับท่าทีและการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา ต่อข้อเรียกร้องของไทย ซึ่งคณะทูตเมื่อได้รับฟังบรรยายพัฒนาการต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แล้ว ไม่มีใครไม่เห็นด้วย แสดงความเข้าใจ แต่มีข้อห่วงกังวลว่าอยากให้กลับเข้าสู่การเจรจาพูดคุย
กระทรวงการต่างประเทศ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าประเทศไทยยึดมั่นในสันติวิธี ซึ่งเป็นหลักการที่เรายึดมาโดยตลอด ขณะเดียวกันรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะดำเนินการอย่างรอบด้านและเต็มกำลังเพื่อธำรงไว้ซึ่งอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และความมั่นคงปลอดภัยของคนไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดตลอดมา ไทยเน้นย้ำความคาดหวังต่อกัมพูชาให้แสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความจริงใจและสุจริตใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้ไทยและประชาคมโลกเห็นว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก กัมพูชาจะปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงกันไว้
นอกจากนี้ยืนยันว่าการที่เราระงับถ้อยแถลง จะไม่ส่งผลต่อความร่วมมือของกัมพูชาในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์หรือสแกมเมอร์ เนื่องจากที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติมีมติว่าอะไรที่ฝ่ายไทยดำเนินการฝ่ายเดียวได้ หรือไทยร่วมกับประเทศอื่นๆ จะดำเนินการต่อ โดยเฉพาะเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดโดยฝ่ายไทย และการต่อต้านอาชญากรรม เราจะเดินหน้าการประชุมระหว่างประเทศเรื่องออนไลน์สแกมเมอร์ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการพูดคุยกับประเทศผู้ร่วมจัด
ขณะที่ล่าสุดยังเกิดเหตุทหารฝั่งกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทย บริเวณ บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว โดยกองทัพภาคที่ 1 ได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพา เหตุการณ์ยิงปะทะกันบริเวณ บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 เวลา 16.10 น. มีการใช้อาวุธปืนยิงมาจากฝั่งกัมพูชา คาดว่าเป็นอาวุธปืนเล็ก AK-47 จำนวนประมาณ 30 นัด โดยกองกำลังบูรพา ได้ยิงเตือนและดำเนินการโต้ตอบเหตุการณ์ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ก่อนสถานการณ์จะสงบลง ตรวจสอบฝ่ายไทยไม่ได้รับการสูญเสีย ทั้งนี้กองกำลังบูรพาได้ทำการเตือนและตอบโต้ยึดตามกฎการใช้กำลังอย่างเคร่งครัดเพื่อระงับเหตุ ซึ่งการใช้อาวุธตอบโต้นั้นเป็นทางเลือกสุดท้ายในสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อปกป้องชีวิตและอธิปไตยของชาติ โดยกำลังพลได้ยิงตอบโต้ด้วยอาวุธปืนเล็กยาวไปยังทิศทางยิงของฝ่ายตรงข้ามที่กระทำต่อกำลังพลฝ่ายไทย โดยใช้ความระมัดระวังอย่างเต็มที่ ไม่ให้ถูกเป้าหมายพลเรือน ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และหยุดตอบโต้ เมื่อภาวะคุกคามจากฝั่งตรงข้ามสิ้นสุดลงทันที
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เมื่อเวลา 16.00 น. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพาว่า เกิดเหตุทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทย ในพื้นที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว โดยหลังจากนั้น ฝ่ายไทยได้เข้าแนวกำบัง และได้ยิงแจ้งเตือนไปยังจุดที่มีการยิงเข้ามา ตามกฎการใช้กำลัง เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาประมาณ 10 นาทีจึงสงบลง ทั้งนี้ ฝ่ายไทยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ส่วนกรณีที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประชาคมโลกประณามไทยต่อเหตุการณ์กราดยิงในพื้นที่หมู่บ้านไปรจัน โดยอ้างว่าทหารไทยเปิดฉากยิงใส่ประชาชนกัมพูชาในหมู่บ้านดังกล่าว ตามข้อมูลเบื้องต้นมีพลเรือนได้รับบาดเจ็บ 5 ราย นั้น แถลงการณ์ของกัมพูชาดังกล่าวเป็นวิธีการเดิม ๆ ที่เริ่มจากการสร้างสถานการณ์บิดเบือน และออกมาให้ข่าวตามแผนการที่วางไว้ โดยข้อเท็จจริงฝ่ายไทยใช้กำลังเท่าที่จำเป็นตามหลักกฎการใช้กำลัง เพื่อระงับเหตุและปกป้องอธิปไตยของชาติ รวมถึงความปลอดภัยของกำลังพลในพื้นที่ ข้อกล่าวหาของกัมพูชาที่ระบุว่าไทยเปิดฉากการยิง ยั่วยุ และละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ล้วนไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และการที่กัมพูชาเปิดฉากยิงโดยอาศัยพื้นที่ชุมชนเป็นที่กำบัง ยังเข้าข่ายการใช้โล่มนุษย์ ผิดหลักมนุษยธรรม แสดงถึงความไม่ใส่ใจในชีวิตของประชาชนกัมพูชาแม้แต่น้อย
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยขอประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชาอย่างรุนแรง ที่ใช้อาวุธยิงเข้ามายังพื้นที่ฝั่งไทยก่อน โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน รัฐบาลยืนยันตามรายงานจากกองทัพบกว่า ฝ่ายไทยได้ดำเนินการอย่างระมัดระวังและอยู่ในกรอบของ “กฎการใช้กำลัง (Rules of Engagement)” นอกจากนี้ การที่ฝ่ายกัมพูชาใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ถือเป็นการละเมิดหลักมนุษยธรรมสากลอย่างร้ายแรง ซึ่งประเทศไทยไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพลเรือนในสถานการณ์ความขัดแย้ง จึงขอเรียกร้องให้กัมพูชาหยุดการกระทำยั่วยุทุกรูปแบบ เคารพอธิปไตยของไทย และยุติการบิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนและประชาชนของตัวเอง การยิงก่อนในครั้งนี้เป็นการก่อกวนและละเมิดข้อตกลงสันติภาพระหว่าง 2 ประเทศโดยตรง
ต่อกรณีที่ พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงต่อสาธารณะว่าไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน และมีพลเรือนกัมพูชาได้รับบาดเจ็บนั้น ยืนยันว่าเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยสิ้นเชิง ข้อเท็จจริงคือฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ยิงก่อน ขณะที่ฝ่ายไทยตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองอย่างจำกัดและอยู่ในกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ
จากกระแสข่าว เสียงตามสาย ขอให้ชาวบ้าน บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านหนองจาน อพยพเข้าบังเกอร์ ซึ่งได้ตรวจสอบกับนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่า เบื้องต้นช่วงเวลา 19.20 น. พบมีเสียงดังคล้ายระเบิด บริเวณแนวชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว จึงได้แจ้งชาวบ้าน ให้เข้าอยู่บริเวณหลุมหลบภัย เพื่อความปลอดภัย ซึ่งขณะนี้ เจ้าหน้าที่ทั้งแนวหน้า และแนวหลัง ยังเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก








