นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีสำนักข่าว Bernama ของมาเลเซีย รายงานคำกล่าวของ ดาโตะ เซอรี อูตามา ฮาจี โมฮามัด บิน ฮาจี ฮาซัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย คลาดเคลื่อนจากภาษาต้นฉบับ ซึ่งเป็นภาษามลายู โดยระบุว่า คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team : AOT) รายงานว่าทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบไม่ใช่ของใหม่ ซึ่งไม่ตรงกับคำกล่าวในภาษาต้นฉบับ และไม่ตรงกับหลักฐานความจริงซึ่งฝ่ายไทยตรวจสอบแล้วว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่โดยฝ่ายกัมพูชา ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสำนักข่าว Bernama ได้ตรวจสอบและยืนยันว่าเกิดความผิดพลาดในการแปลถ้อยแถลงจากภาษามลายู เป็นภาษาอังกฤษจริง และได้ทำการแก้ไขถ้อยคำในย่อหน้าที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องแล้ว โดยระบุว่า คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนในประเทศไทยและกัมพูชา รายงานว่า “พบทุ่นระเบิดใหม่” ไม่ใช่ “ไม่พบทุ่นระเบิดใหม่” ดังที่แปลคลาดเคลื่อนก่อนหน้านี้
นายสิริพงศ์ ยืนยันว่า ไทยได้ตรวจสอบและพิสูจน์ทราบแล้วว่า ทุ่นระเบิดที่ทหารไทยเหยียบ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 บริเวณห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นทุ่นระเบิดที่เกิดจากการลอบวางใหม่จากฝ่ายกัมพูชา โดยจากการพิสูจน์ทราบพบชิ้นส่วนทุ่นระเบิด PMN-2 ในหลุมระเบิดและพื้นที่ใกล้เคียง และพบอีก 3 ทุ่น บริเวณรอบ ๆ หลุมระเบิด ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นทางลาดตระเวนเดิมของไทย ซึ่งทหารกัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง จึงสรุปได้ว่าฝ่ายกัมพูชาลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย ทั้งนี้ได้ย้ำพร้อมขอความร่วมมือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ขอความระมัดระวังในการเผยแพร่ เพราะหากเกิดความผิดพลาดทำให้ไทยเสียประโยชน์ รัฐบาลไทยต้องต่อสู้ถึงที่สุด
ด้านพลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อการนำเสนอข่าวดังกล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เป็นการนำเสนอข่าวที่ผิดพลาดของสำนักข่าว Bernama จนทำให้สื่อไทยและสื่อกัมพูชา นำมาเสนอข่าวจนเกิด ความผิดพลาด ซึ่งปัจจุบันได้มีการแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบจากเอกสารรายงานของ AOT ก็พบว่า มีการระบุว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าเหตุการณ์ผิดพลาดดังกล่าวเป็นเรื่องของการนำเสนอข่าวที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
ขณะที่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (ASEAN Observer Team–Thailand : AOT-TH) จำนวน 10 นาย ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายไทย 6 นาย และผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน 4 นาย ได้แก่ มาเลเซีย
2 นาย อินโดนีเซีย 1 นาย และฟิลิปปินส์ 1 นาย ลงพื้นที่ติดตามและประเมินสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด ภายหลังเหตุยิงปะทะเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 คณะ AOT-TH เดินทางถึงจุดตรวจอำเภอโคกสูง
ที่ 34 (จต.ส.34) จังหวัดสระแก้ว โดยได้รับฟังบรรยายสรุปจากหน่วยกำลังฝ่ายไทยเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ปะทะ การวิเคราะห์ด้านยุทธวิธี การตอบโต้ และมาตรการป้องปรามที่ดำเนินการในพื้นที่ เพื่อให้ผู้สังเกตการณ์รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงจากหน่วยปฏิบัติงานโดยตรง และภายหลังการบรรยาย คณะผู้สังเกตการณ์ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบบังเกอร์ฝั่งไทยที่ได้รับความเสียหายจากการถูกยิง โดยร่วมปฏิบัติงานกับทีมพิสูจน์หลักฐานในการรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ อาทิ ร่องรอยกระสุน ทิศทางการยิง และตำแหน่งกระสุนตก เพื่อนำไปประกอบรายงานวิเคราะห์สถานการณ์ด้านความมั่นคงอย่างเป็นระบบและโปร่งใส
คณะ AOT-TH ได้เดินทางต่อไปยังศาลาประชาคมบ้านหนองหญ้าแก้ว เพื่อพบปะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุยิงข้ามแดน โดยประชาชนมีความกังวลต่อเสียงปืน ความไม่มั่นใจในการดำรงชีวิตประจำวัน และกระทบต่อความรู้สึกปลอดภัยของครัวเรือน การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนสามารถประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน ทั้งจากข้อมูลภาคสนามหลักฐานเชิงประจักษ์ และเสียงสะท้อนจากประชาชน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สาธารณชนว่าหน่วยงานไทยยังคงดำเนินมาตรการดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดนอย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง
นอกจากนี้ กองทัพไทยได้จัดการประชุมชี้แจงและแสดงหลักฐานต่าง ๆ ในสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีผู้บังคับบัญชาของกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับ ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ และผู้แทนสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ให้ข้อมูลสำคัญต่อคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย (Military Attache Corps to Thailand : MAC-T) จำนวน 18 ประเทศ ซึ่งการชี้แจงมุ่งเน้นประเด็นสถานการณ์ความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยเฉพาะกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดที่พิสูจน์ทราบแล้ว ทั้งหลักฐานเชิงประจักษ์และทางนิติวิทยาศาสตร์ว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ได้รับความสนใจจากนานาประเทศ กองทัพไทย ได้แสดงความขอบคุณต่อคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ที่สละเวลาเข้ารับฟังการชี้แจง พร้อมทั้งให้ความสนใจ ซักถาม และแลกเปลี่ยนมุมมองอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของประเทศต่าง ๆ ในการธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค และย้ำว่าการดำเนินการดังกล่าวคือการทูตด้านความมั่นคงอย่างแท้จริง เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจร่วมกันในระดับสากลและสนับสนุนความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน
เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศเดินหน้าสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับนานาประเทศ โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงพัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีสาระสำคัญ 4 เรื่องประกอบด้วย
1. การบรรยายสรุปแก่คณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย โดยกองบัญชาการกองทัพไทย ได้จัดการบรรยายสรุปให้แก่ผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย เพื่อชี้แจงพัฒนาการล่าสุด และข้อเท็จจริงของสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการสรุปเหตุการณ์ที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดใหม่ ที่ฝ่ายกัมพูชาเข้ามาลอบวางระเบิดในเขตไทย โดยเฉพาะครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 โดยมีการนำเสนอหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ากัมพูชาละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ที่กัมพูชาเองร่วมเป็นรัฐภาคี และชี้แจงเหตุการณ์ปะทะกันบริเวณชายแดน บ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ที่ทหารกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธยิงเข้ามายังฝั่งไทยก่อน ส่งผลให้ฝ่ายไทยต้องยิงแจ้งเตือนเพื่อปกป้องอธิปไตยและป้องกันตนเอง ตามกฎการใช้กำลังและกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนกระทรวงการต่างประเทศได้ให้ข้อมูลการดำเนินการของไทยในกรอบอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงกรณีการรายงานข่าวที่ผิดพลาดและบิดเบือนของสำนักข่าว Bernama ประเทศมาเลเซีย
2. การลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสระแก้ว ของผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ฝ่ายไทยโดยกองบัญชาการกองทัพไทย ได้จัดให้ผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในพื้นที่ที่เกิดเหตุทั้ง 2 พื้นที่ ได้แก่ ห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว
3. การดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ จากทั้ง 2 กิจกรรมข้างต้น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคง ในการเดินหน้าชี้แจงประชาคมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ต่างประเทศรับทราบข้อเท็จจริง และจุดยืนของไทย หลังจากที่ฝ่ายกัมพูชาละเมิดถ้อยแถลง หรือ Joint Declaration ระหว่างไทย-กัมพูชา ย้ำว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ไทยจะไม่เคารพและปฏิบัติตาม Joint Declaration เพราะเป็นประเด็นที่ล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยผลักดันอย่างเข้มแข็งและแข็งขันมาโดยตลอด แต่กัมพูชาได้ละเมิดอย่างชัดเจน โดยการลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ และการสร้างสถานการณ์ยั่วยุ โดยใช้อาวุธยิงเข้ามาในไทยก่อน อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงเดินหน้าเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ที่เป็นอธิปไตยของไทย และการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งส่งผลกระทบกับประชาชนทั้งในและนอกภูมิภาค และประเทศไทยได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และจะเฝ้าติดตามความจริงจังของฝ่ายกัมพูชา ในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับเหตุการณ์การวางทุ่นระเบิดและการยิงเข้ามายังฝั่งไทย โดยฝ่ายกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังกัมพูชาแล้ว 2 ฉบับ และได้เวียนหนังสือชี้แจงไปยังคณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยด้วยแล้ว รวมถึงส่งหนังสือประท้วงต่อกัมพูชาไปยังญี่ปุ่นในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาแล้ว และได้ขอให้เวียนหนังสือดังกล่าวให้กับรัฐภาคีอนุสัญญา คือสมาชิกของรัฐภาคีอนุสัญญาทราบ รวมถึงได้ส่งหนังสือประท้วงไปยังเลขาธิการสหประชาชาติในเรื่องนี้ นอกจากนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือถึงนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในฐานะสักขีพยานการลงนาม Joint Declaration ด้วยแล้ว และเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 กระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่ข่าวสาร ข่าวสารนิเทศ เรื่องกัมพูชา ละเมิดซ้ำต่อการปฏิบัติตาม Joint Declaration ย้ำถึงความพยายามในการจัดฉากการสร้างสถานการณ์ และการเผยแพร่ข้อมูลเท็จซ้ำแล้วซ้ำอีกของฝ่ายกัมพูชา สะท้อนถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาที่จะบรรลุสันติภาพร่วมกัน
4. การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือน ที่ผ่านมาฝ่ายไทยเห็นตัวอย่างการปล่อยข่าวปลอม และการบิดเบือนข้อมูลโดยไม่มีหลักฐานรองรับของฝ่ายกัมพูชา 3 กรณี ได้แก่
1. การกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายวางทุ่นระเบิดเองและเหยียบเอง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เป็นระเบิด ประเภท PMN-2 ซึ่งฝ่ายไทยไม่มีในครอบครอง
2. การกล่าวอ้างว่าฝ่ายไทยเปิดฉากยิงไปยังกัมพูชาก่อนบริเวณชายแดน บ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งในความเป็นจริงเป็นฝ่ายกัมพูชาที่เริ่มก่อนและมีหลักฐานรอยกระสุนที่บังเกอร์ของไทย รวมถึงวิถีกระสุน ยังไม่นับรวมการรายงานสถิติประชาชนกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บจากหน่วยงานต่าง ๆ ของกัมพูชาเองที่สับสนและไม่มีความสอดคล้องกัน
3. การนำภาพร่างผู้เสียชีวิตชาวกัมพูชาด้วยโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ไปบิดเบือนว่า เป็นร่างของทหารกัมพูชาที่ถูกฝ่ายไทยควบคุมตัวไว้
กรณีที่มีสำนักข่าวต่างประเทศ จากมาเลเซีย คือ Bernama รวมทั้งสื่ออื่นๆ ได้เผยแพร่ข่าวที่มีข้อมูลผิดพลาดเกี่ยวกับทุ่นระเบิดที่ทำให้ทหารไทยต้องพิการ กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับหน่วยงานความมั่นคง ของไทยอย่างใกล้ชิด และติดต่อสำนักข่าวดังกล่าวไปแล้วเพื่อให้แก้ไขในทันที และจะดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป เพราะแม้จะมีการแก้ไขไปแล้ว แต่ได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและผลกระทบในวงกว้าง
ในช่วงที่สถานการณ์ ไทย-กัมพูชา มีความอ่อนไหวสูง ความถูกต้องของข้อมูลข่าวสาร ที่เผยแพร่ออกไปมีความสำคัญอย่างมาก ขอย้ำว่ากระทรวงการต่างประเทศ เป็นช่องทางที่จะให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นช่องทางที่ดีที่สุด เพื่อป้องกันการรับข้อมูลที่บิดเบือน และขอความร่วมมือประชาชนบริโภคข้อมูลข่าวสารด้วยความระมัดระวัง และมีวิจารณญาณ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้บุคคลรอบข้าง ขอย้ำว่าหน่วยงานไทยทุกหน่วยจะทำงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันผลประโยชน์ของไทย ปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทย และเสริมสร้างความเชื่อมั่นของไทยในประชาคมโลก
ขณะที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปการชี้แจงข้อเท็จจริงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่นานาประเทศ ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงต่อสาธารณชนว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยยังคงเดินหน้าเผยแพร่ข้อเท็จจริงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้รับทราบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างถูกต้องตามข้อเท็จจริง ในขณะที่กองบัญชาการกองทัพไทยได้บรรยายสรุปสถานการณ์ให้คณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทยรับทราบ โดยได้ชี้แจงเหตุการณ์ทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งไทย ไม่มีในครอบครอง พร้อมหลักฐานยืนยันว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางใหม่ในเขตไทย โดยเฉพาะเหตุล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นอกจากนี้ยังได้ชี้แจงรายละเอียดเหตุปะทะบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว รวมถึงตัวอย่างข่าวบิดเบือนที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่
ทั้งนี้ หน่วยงานไทยทุกภาคส่วนยังคงทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อรักษาอธิปไตย ความปลอดภัยของประชาชน และบูรณภาพแห่งดินแดน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาคมโลกว่า ประเทศไทยยึดมั่นในหลักสันติวิธี หลักกฎหมายระหว่างประเทศ และความร่วมมือในภูมิภาค ขณะเดียวกันไทยจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อการละเมิดที่เกิดขึ้น และเฝ้าติดตามข้อมูลบิดเบือนที่อาจส่งผลกระทบต่อความเข้าใจผิดของนานาชาติ ประเทศไทยยังคงดำเนินการด้วยความรอบคอบ บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมประสานงานกับพันธมิตรและองค์กรระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกฝ่ายรับทราบสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ขณะเดียวกัน ไทยจะรักษาอธิปไตยและคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ และจะไม่ละเลยต่อการละเมิดที่กระทบต่อเสถียรภาพของประเทศ
การเดินหน้ากวาดล้างทุ่นระเบิดของไทย พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ปัจจุบันในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงมีการตรวจพบการใช้ทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ในพื้นที่บริเวณเนิน 677 ช่องอานม้า ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ในเขตเส้นปฏิบัติการของไทย หน่วยทหารในพื้นที่ได้ตรวจพบทุ่นระเบิด จำนวน 2 ทุ่น จากการพิสูจน์ทราบโดยชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดพบว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แบบ PMN-2 สภาพใหม่ แต่ยังไม่ได้ถอดสลักนิรภัยออก จึงได้ทำการเก็บกู้ และบันทึกหลักฐานเพื่อดำเนินการรายงานต่อคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน AOT ต่อไป สำหรับทุ่นระเบิดที่ตรวจพบ 2 ทุ่น วางห่างกันระยะประมาณ 50 เมตร โดยจุดที่ 1 อยู่บริเวณแนวลาดตระเวนของฝ่ายไทย และจุดที่ 2 อยู่ใกล้เคียงกับฐานปฏิบัติการเก่า บริเวณเนิน 677 ที่ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ หากพิจารณาจากตำแหน่งที่ตรวจพบทุ่นระเบิดแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นการเตรียมการวางทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชา เพื่อลอบทำร้ายฝ่ายไทยที่ลาดตระเวณบริเวณชายแดน หรือมีการเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ในบริเวณดังกล่าว ถือว่าเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน และแสดงถึงเจตนาในการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย เป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาออตตาวา ที่ไทยและกัมพูชาล้วนได้ให้สัตยาบัน ดังนั้นฝ่ายไทยยืนยันที่จะปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดในเขตอธิปไตยไทย เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กำลังพลและประชาชนในพื้นที่ต่อไป








