นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและวางแผนการบริหารจัดการน้ำเขื่อนภูมิพล เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่าง เร่งแก้ไขและบรรเทาสถานการณ์น้ำท่วมให้ประชาชนในภาคกลางที่ยังคงได้รับผลกระทบโดยเร็วที่สุด โดยกรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า ความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางและกำลังแรงจากประเทศจีนที่แผ่ลงมาปกคลุมบริเวณตอนบนของประเทศในช่วงสัปดาห์นี้ จะทำให้ภาคเหนือมีปริมาณฝนลดลง โดยจะยังคงมีฝนตกเล็กน้อยในบางพื้นที่ ในระยะนี้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้ปรับลดการระบายน้ำของเขื่อนภูมิพลตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568 จากเดิมระบายน้ำ 55 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน เหลือ 50 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ปรับลดลงเหลือ 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน จากนั้นให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาปรับการระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยขอให้รักษาระดับน้ำในเขื่อนตามความเหมาะสม ซึ่งการปรับลดการระบายน้ำในครั้งนี้จะช่วยให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงลดลงอีก 0.1- 0.15 เมตร ตั้งแต่อำเภอสามเงา จังหวัดตาก อำเภอเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร จนถึงอำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ นอกจากนี้ จะช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยา โดยให้กรมชลประทานบริหารจัดการน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาอย่างเหมาะสม
สำหรับสภาพอากาศในพื้นที่ภาคกลางยังคงมีฝนตกกระจายเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยเขื่อนเจ้าพระยามีการระบายน้ำลดลง และการปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลในครั้งนี้ จะช่วยให้ทยอยลดการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาได้ตามลำดับ พร้อมกันนี้ กรมชลประทานได้ผันน้ำเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกอย่างเต็มประสิทธิภาพ คาดว่าจะสามารถลดการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาให้เหลือประมาณ 2,400-2,700 ลบ.ม. ต่อวินาที ในช่วงวันที่ 20-24 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งจะช่วยให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ลดลงอีก 0.4- 0.75 เมตร โดยทุกหน่วยงานกำลังดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อเร่งช่วยเหลือประชาชนท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมาเป็นระยะเวลานาน ขณะเดียวกัน สำหรับพื้นที่เหนือเขื่อนภูมิพลที่ยังได้รับผลกระทบอยู่ในขณะนี้ กฟผ. ได้ติดตามดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำให้มีการช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์สถานการณ์ให้ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
ด้านการแจ้งเตือนและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งข้อความผ่าน Cell Broadcast แจ้งเตือนเกิดเหตุคันดินกั้นน้ำบนคลองชลประทานบรมธาตุ บริเวณ หมู่ 4 ตำบลหัวป่า อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ชำรุด ทำให้น้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ หมู่ 1, 2, 3, 4 ตำบลหัวป่า อำเภอพรหมบุรี หมู่ 5, 6, 7 ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมืองสิงห์บุรี และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขอให้ผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่และพื้นที่ใกล้เคียง ยกของขึ้นที่สูง เคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังที่ปลอดภัย
กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 711 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 71 จัดกำลังพลชุดบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 20 นาย ร่วมกับเทศบาลเมืองสิงห์บุรี ช่วยกรอกกระสอบทราย เพื่อทำแนวกั้นน้ำเพิ่มความสูง เสริมความแข็งแรง และเสริมจุดที่รั่วไหล ในพื้นที่เศรษฐกิจที่ยังไม่ท่วม ช่วยชาวบ้านขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง ส่วนกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 6 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 ได้ส่งชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน (ขุนอาสา 541) พร้อมด้วยกำลังพลจิตอาสาของหน่วย จำนวน 20 นาย ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลไทรน้อย และชาวบ้านในพื้นที่ ช่วยกันกรอกกระสอบทราย 400 กระสอบ เพื่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เสริมแนวป้องกันน้ำ บริเวณ หมู่ที่ 5 หลังหมู่บ้านพฤกษา จังหวัดนนทบุรี ซึ่งอยู่ติดกับคลองพระพิมลราชา ที่มีปริมาณน้ำสูงขึ้นจากฝนตกหนักในพื้นที่ ที่ผ่านมา และได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายชวนินทร์ วงศ์สถิตจิรกาล ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์ บริเวณริมเขื่อนป้องกันน้ำ วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหารและพระราชวังบางปะอิน อำเภอบางปะอิน ติดตามการก่อสร้างโครงการซ่อมแซมฟื้นฟูและปรับปรุงระบบป้องกันน้ำท่วมวัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร การเสริมแนวคันป้องกันน้ำของพระราชวังบางปะอิน และโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนบางปะอิน ปัจจุบันแม้ว่าระดับน้ำจะคงที่ แต่ได้สั่งการให้อำเภอบางปะอินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อสามารถวางแผนรับมือและบรรเทาสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงให้กำหนดแผนการฟื้นฟูและเยียวยาประชาชนผู้ที่รับผลกระทบโดยเร่งด่วน
นอกจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แจ้งเตือน 11 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ภูเก็ต ตรัง และสตูล เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขัง ดินโคลนถล่ม และอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำเก็บกักมากกว่าร้อยละ 80 เสี่ยงน้ำล้น ส่งผลกระทบบริเวณท้ายน้ำ 4 จังหวัด ได้แก่ ระนอง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และกระบี่ ในช่วงวันที่ 17-22 พฤศจิกายน 2568 โดยจัดทีมปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อเข้าเผชิญเหตุและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่เสี่ยงและบริเวณที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ใน 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง เพื่อลดผลกระทบจากเหตุอุทกภัยให้ได้มากที่สุด และขอให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์โดยปฏิบัติตามคำแนะนำจากทางราชการอย่างเคร่งครัดประชาชนสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ1784” สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานให้การช่วยเหลือ
ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชนในช่วงวันที่ 17-23 พฤศจิกายน 2568 ประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศแปรปรวน โดยจะมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ในระยะแรก โดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะถัดไป หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลงและมีอากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง ขอให้ประชาชนดูแลรักษาสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลง รวมถึงให้ระวังอันตรายจากอัคคีภัยที่อาจจะเกิดขึ้นจากสภาพอากาศแห้งและลมแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตร
สำหรับภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ประกอบกับจะมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคใต้ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังค่อนข้างแรง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูงประมาณ 2-3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก และฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย รวมทั้งระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง สำหรับเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 19-23 พฤศจิกายน 2568
(15 พ.ย. 68) ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างโครงการประตูระบายน้ำในพื้นที่จังหวัดนครปฐม พร้อมพบปะประชาชนและเกษตรกร เพื่อรับฟังปัญหาและมอบถุงยังชีพแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ สำหรับโครงการประตูระบายน้ำพร้อมสถานีสูบน้ำคลองโรงพยาบาลห้วยพลู ตำบลห้วยพลู อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม สืบเนื่องจากคลองโรงพยาบาลห้วยพลูเชื่อมต่อกับแม่น้ำท่าจีนและไม่มีอาคารบังคับน้ำบริเวณปากคลอง ทำให้ในฤดูฝนของทุกปี น้ำจากแม่น้ำท่าจีนไหลย้อนเข้าท่วมพื้นที่ ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย กรมชลประทาน จึงได้ดำเนินโครงการดังกล่าว เป็นประตูระบายน้ำ 1 ช่อง ขนาด 3 × 3 เมตร ระบายน้ำได้สูงสุด 12 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมสถานีสูบน้ำและอาคารประกอบ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ป้องกันปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนให้กับประชากรได้ 200 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัยกว่า 620 ไร่
ส่วนโครงการประตูระบายน้ำพร้อมสถานีสูบน้ำคลองพระน้อย ตำบลวัดละมุด อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ปัจจุบันบริเวณคลองพระน้อยรับน้ำจากตำบลวัดละมุด ตำบลดอนแฝก ตำบลศรีมหาโพธิ์ และตำบลสัมปทวน ก่อนระบายลงสู่คลองท่าเรือ–บางพระ ที่ผ่านมาประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก เนื่องจากขาดอาคารควบคุมน้ำและระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดน้ำไหลย้อนเข้าท่วมพื้นที่ริมคลองและพื้นที่เกษตรโดยรอบกรมชลประทาน จึงเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ 1 ช่อง ขนาด 4 × 3.5 เมตร สามารถระบายน้ำสูงสุด 15 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมสถานีสูบน้ำและอาคารประกอบ ซึ่งหากโครงการฯ แล้วเสร็จจะช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในฤดูฝนให้ประชากรได้ 110 ครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัยกว่า 545 ไร่ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำในคลองเพื่อใช้ประโยชน์ในหน้าแล้งอีกด้วย
โดย ร้อยเอก ธรรมนัส ได้สั่งการให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการ ภายในปีงบประมาณ 2569 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของประชาชนในพื้นที่ ส่วนมาตรการระยะยาว ต้องเร่งแก้ไขปัญหาลำน้ำตื้นเขินทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำสายหลัก (ปิง วัง ยม น่าน) หรือสาขาย่อย ได้มอบหมายให้กรมชลประทานบูรณาการความร่วมมือกับกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม และกระทรวงกลาโหม เพื่อดึงศักยภาพเครื่องมือ และบุคลากรจากหน่วยที่มีความเชี่ยวชาญมาปฏิบัติการขุดลอกพร้อมกันทั่วประเทศอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำให้ได้สูงสุด ในส่วนการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม ได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) เป็นแกนกลางในการดูแลด้านน้ำอย่างเป็นระบบ โดยอ้างอิงข้อมูลจริงเท่านั้น เพื่อให้การสื่อสารต่อสาธารณะมีความแม่นยำ และป้องกันความสับสนของประชาชน และพร้อมเร่งเยียวยาประชาชนในพื้นที่ที่ต้องรองรับน้ำ และพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยอย่างทั่วถึง
นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมทั้งมอบนโยบายเน้นหนักการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมถึงการแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการอุทกภัยในพื้นที่ อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด โดยมี นายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ร่วมลงพื้นที่ โดยนายศักดิ์ดา ย้ำว่า การลงพื้นที่เพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะน้ำท่วม ทั้งน้ำบาดาล น้ำล้นตลิ่ง และการจัดการลำน้ำชี รวมถึงเร่งโครงการปรับปรุงระบบน้ำบาดาลและประปาหมู่บ้าน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านอุปโภค-บริโภคและการเกษตร บรรเทาความเดือดร้อนให้ประชาชน พร้อมทั้งรับฟังปัญหาและแก้ไขเรื่องที่ทำได้ทันที
สำหรับจังหวัดร้อยเอ็ด เกิดอุทกภัยใน 15 ตำบล 113 หมู่บ้าน ส่วนใหญ่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว แต่ยังต้องซ่อมคอสะพานหนองกุดฮาด ถนนบ้านหนองจอก และถนน คสล. บ้านโนนสว่าง–บ้านหวาย ความเสียหายนาข้าว 62,211 ไร่ ได้รับความช่วยเหลือ 83.36 ล้านบาท บ้านเสียหาย 15 หลัง ช่วยเหลือหลังละ 9,000 บาท ทางจังหวัดโดยกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ได้ดำเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อเยียวยาและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
นายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยและเยี่ยมเยียนให้กำลังใจ ร่วมมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจังหวัดสุโขทัย ในตำบลปากพระ ณ วัดปากพระ ตำบลปากพระ อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย โดยได้นำข้อห่วงใยของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบแก่ประชาชนในพื้นที่ พร้อมย้ำว่า รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยไม่ทอดทิ้งประชาชน และจะเร่งบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเยียวยาผู้ประสบภัยให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการมอบเงินเยียวยาและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน








