นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เผยแพร่ข้อความถึงประชาชน โดยระบุว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมทั้งขอให้รัฐบาลไทยยังคงดำรงเป้าหมายการสร้างสันติภาพตามแนวทางที่ได้ลงนามในปฏิญญาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ต่อไป
ซึ่งได้แสดงจุดยืนของรัฐบาลไทยโดยมีสาระสำคัญดังนี้
1. ได้ขอบคุณทุกคำแนะนำและรับฟังความเห็นของผู้นำทั้งสองท่านในฐานะที่เป็นพยานในปฏิญญาดังกล่าว เพื่อนำมาพิจารณาร่วมกันกับข้อมูลที่หน่วยงานความมั่นคงของไทยมีอยู่ในการไปดำเนินการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมจากการเกิดเหตุการณ์ที่ฝ่ายกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดและละเมิดเงื่อนไขที่ระบุไว้ในปฏิญญา
2. ได้แจ้งให้พยานทั้ง 2 คนทราบว่า ผู้ร่วมสังเกตการณ์จากหลายประเทศได้เข้าไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ได้ยืนยันว่า ทุ่นระเบิดทั้ง 4 ทุ่น เป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่มีการลักลอบเข้ามาวางในเขตพื้นที่ของไทยหลังจากที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามในปฏิญญาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 แล้ว
3. ยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะระงับการดำเนินการภายใต้เนื้อหาที่ระบุไว้ในปฏิญญา จนกว่ากัมพูชาจะยอมรับว่าไม่ได้ปฏิบัติตามและได้ละเมิดเงื่อนไขดังกล่าว และต้องมีคำแถลงขอโทษต่อประชาชนชาวไทยในกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภูมะเขือซึ่งได้ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะ
4. ได้ย้ำว่า รัฐบาลไทยคงไว้ซึ่งสิทธิและมีอำนาจที่จะดำเนินการใด ๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศและสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ที่พึงจะกระทำเพื่อปกป้องประเทศและประชาชนให้พ้นจากภัยคุกคามของต่างชาติ
5. เรียกร้องให้ผู้นำของทั้ง 2 ประเทศในฐานะที่เป็นสักขีพยานในปฏิญญาดังกล่าว แจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาให้เคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดและมีความจริงใจต่อประเทศทั้ง 4 ที่ได้ร่วมกันลงนามในปฏิญญาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ขอให้ผู้นำทั้ง 2 เน้นย้ำต่อผู้นำรัฐบาลกัมพูชาว่า จะต้องไม่มีการขัดขวางใด ๆ ของฝ่ายกัมพูชาต่อการเข้าไปเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ฝ่ายกองทัพไทยเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งได้มีการกำหนดพิกัดและพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
6. แจ้งต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ว่าการที่กัมพูชาไม่เคารพต่อปฏิญญาและไม่ยอมรับผิดต่อเหตุการณ์ที่ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและต้องสูญเสียอวัยวะในครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนชาวไทยหมดความมั่นใจและความเชื่อถือต่อรัฐบาลกัมพูชาซึ่งจะยังผลให้การดำเนินการที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพมีความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
7. ยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทุกชาติ เพื่อเสริมสร้างสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยก็ไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ใด ๆ ต่อไปกับเพื่อนบ้านที่ไม่มีความจริงใจและคอยคุกคามอธิปไตยของไทยอยู่ตลอดเวลา
8. ผู้นำทั้ง 2 ได้รับทราบว่ารัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยมีความเสียใจและผิดหวังต่อเหตุร้ายแรงที่ได้เกิดขึ้น เพราะว่าในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยก็เคยให้ความช่วยเหลือ ให้ที่พักพิงแก่ผู้อพยพหนีภัยสงครามชาวกัมพูชาด้วยความปรารถนาดีและด้วยความมีมนุษยธรรม จึงไม่คาดคิดว่ารัฐบาลกัมพูชาจะกระทำตนเป็นปฏิปักษ์และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศไทยและยังได้ทำร้ายคนไทยได้ถึงระดับนี้
9. เน้นย้ำว่า รัฐบาลไทยไม่เคยมีเจตนารุกรานกัมพูชา แต่มีความพร้อมที่จะดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและเกียรติภูมิของชาติและเพื่อสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในทุกวิถีทาง
10. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ถามถึงเรื่องการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ซึ่งได้ตอบไปว่าอยากจะขอให้มีการลดอัตราภาษีให้กับประเทศไทยมากกว่านี้ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ตอบอย่างอารมณ์ดีว่า อัตรา 19% ที่ไทยได้รับ ถือว่าต่ำมาก นายกรัฐมนตรีได้ตอบว่าหากต่ำจริงคงไม่ไปขอให้ลดลงอีกที่เกาหลีใต้เพราะประเทศไทยได้ให้ความร่วมมือในทุก ๆ ด้านกับสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างดี ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระบุว่าจะไปคุยกับทางกัมพูชาซึ่งหากกัมพูชาไม่ขัดขวางการถอนทุ่นระเบิดของไทย แล้วฝ่ายไทยสามารถดำเนินการเร่งถอนทุ่นระเบิดได้อย่างรวดเร็ว จะพิจารณาให้มีการปรับลดภาษีให้มากกว่านี้
11. นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระบุว่าจะเร่งทำเอกสารในนามประธานอาเซียน เพื่อย้ำความเข้าใจและให้ทั้ง 2 ประเทศได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในปฏิญญาอย่างเคร่งครัดต่อไป
ด้านกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงพัฒนาการล่าสุดในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 โดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงใน 3 เรื่อง ดังนี้
1. การหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
- เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นายกรัฐมนตรี หารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับฟังด้วย
- ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา สอบถามถึงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรีแจ้งพัฒนาการล่าสุดและย้ำว่า ทั้ง 2 ฝ่ายพึงต้องปฏิบัติตามถ้อยแถลงที่ได้เห็นชอบร่วมกันเพื่อนำไปสู่สันติภาพ อย่างไรก็ดีไทยมีความเสียใจที่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงของทั้ง 2 ฝ่ายก่อน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องทุ่นระเบิดที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นชอบที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ยังตกค้างตามแนวชายแดนรวมถึงการไม่ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่
- ฝ่ายกัมพูชายังคงบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ได้เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และสามารถยืนยันได้ว่า มีการลักลอบติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ ส่งผลให้ทหารไทยที่ลาดตระเวนตามปกติได้รับบาดเจ็บสาหัสสูญเสียขา นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้เชิญคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนลงพื้นที่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
- ต่อคำถามของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับความคาดหวังของไทยที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยยังคงยึดมั่นในสันติภาพ แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงมีมาตรการป้องกันเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกในอนาคต ดังนั้น การเดินหน้าต่อจึงขึ้นอยู่กับท่าทีของกัมพูชาเป็นสำคัญ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จะต้องเปิดพื้นที่ 13 แห่งที่หารือกันให้ฝ่ายไทยเริ่มดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดโดยไม่มีการขัดขวางปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รับฟังอย่างเข้าใจและรับที่จะพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาในเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่า ทั้งสหรัฐอเมริกา และมาเลเซียพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถเดินหน้าในกระบวนการสันติภาพได้ โดยในส่วนของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้ประสงค์ที่จะแทรกแซงการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากสำหรับประเทศไทย
- นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไทยมุ่งมั่นในแนวทางสู่สันติภาพ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไทยจำเป็นต้องสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการใด ๆ ที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย
2. การหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
- ภายหลังการหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายกรัฐมนตรีโทรศัพท์หารือกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อประสานข้อมูลที่ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียแสดงความเข้าใจ ในฐานะที่มาเลเซียเป็นประธานอาเซียน และรับจะช่วยหาแนวทางที่จะให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อไปได้ โดยคำนึงถึงข้อเสนอของฝ่ายไทย
- นายกรัฐมนตรีแจ้งเพิ่มเติมว่า ได้ตอกย้ำกับสหรัฐอเมริกา ด้วยว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลงที่ปรากฏในถ้อยแถลงร่วมฯ ดังนั้น ทั้งสหรัฐอเมริกา และมาเลเซียต่างรับทราบประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ ซึ่งคือการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
3. ประเด็นการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา
- เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ไทยได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา ว่า ฝ่ายสหรัฐอเมริกา ขอระงับ (suspend) การเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา (Agreement on Reciprocal Trade Framework) เป็นการชั่วคราว และจะสามารถกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวได้อีกครั้งเมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่า (reaffirms) ปฏิบัติตาม Joint Declaration และหวังว่าจะสามารถหาทางออกในเรื่องนี้ได้โดยเร็ว
- ไทยมีความผิดหวังในท่าทีจากผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา โดยไทยได้ยืนยันมาโดยตลอดว่า ประเด็นความมั่นคงและความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นประเด็นทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา ต้องพิจารณาแยกออกจากประเด็นการค้า ซึ่งเป็นประเด็นทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ย้ำกับนายกรัฐมนตรีในการหารือทางโทรศัพท์ก่อนหน้านั้นว่า สหรัฐอเมริกาไม่ได้ประสงค์ที่จะแทรกแซงการแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 ประเทศตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่
- สำหรับประเทศไทย ประเด็นการค้าระหว่างประเทศและมาตรการทางภาษีของประเทศที่ 3 เป็นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจที่จะมีการพิจารณาโดยรอบคอบในกรอบความร่วมมือทางการค้าและคำนึงผลประโยชน์ของประเทศคู่เจรจาเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลยังคงมีนโยบายขยายโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) การเปิดตลาดใหม่ ๆ และเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของไทย
- ไทยยังคงยินดีและตระหนักในบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐอเมริกา ในการสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดระหว่างกันเพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ตามการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยไทยจะเดินหน้าบนผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ที่มุ่งไปสู่สันติภาพ
ทั้งนี้ในช่วงถาม – ตอบ ต่อข้อสอบถามในการรับมือในการเจรจาภาษีของสหรัฐอเมริกา
- ไทยชี้แจงจุดยืนไปยังสหรัฐอเมริกา ว่า ไทยมีความตั้งใจในการแยกแยะเรื่องชายแดนออกจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยไทยขอให้แยก 2 เรื่องนี้ออกจากกันเช่นกัน และไทยมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งพยายามใช้กลไกทวิภาคีหารือกับกัมพูชา
- ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แสดงความเข้าใจหลังจากที่นายกรัฐมนตรีแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ รวมถึงรับปากที่จะไปพูดคุยกับผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา
- สำหรับการดำเนินการต่อจากนี้ กระทรวงด้านเศรษฐกิจจะดำเนินการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกาต่อไป ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศหวังว่าการเจรจาเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชากับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จะช่วยกดดันให้กัมพูชาเข้าใจถึงเป้าประสงค์ที่ประเทศไทยวางไว้
ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปแถลงพัฒนาการล่าสุดในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และประเด็นอื่นที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานต่อรัฐบาล โดยระบุว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเองยังได้ย้ำในการหารือกับนายกรัฐมนตรีว่า สหรัฐอเมริกา ไม่ประสงค์แทรกแซงปัญหาไทย-กัมพูชา ทั้งนี้รัฐบาลยินดีที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รับฟังด้วยความเข้าใจ และหวังว่าท่าทีของสหรัฐอเมริกา ในประเด็นการค้าและภาษี สามารถหารือและเจรจาต่อไปได้โดยไม่กระทบต่อกรอบความร่วมมือสำคัญในด้านอื่นๆ ที่ทั้ง 2 ประเทศมีมาอย่างแน่นแฟ้นและยาวนาน และขอย้ำว่าประเทศไทยจะยืนหยัดบนพื้นฐานผลประโยชน์แห่งชาติเป็นสำคัญพร้อมทั้งรักษาจุดยืนด้านความมั่นคงและอธิปไตยอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ไทยยังพร้อมร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา ในประเด็นความร่วมมือด้านอื่น ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อสนับสนุนเสถียรภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่อไป
(16 พ.ย. 68) ล่าสุดนายกรัฐมนตรีโพสเฟซบุ๊ก เมื่อเวลา 01.44 น. ระบุว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียซึ่งเป็นประธาน ASEAN ได้โทรศัพท์มาหาตนเองอีกครั้งเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 ในเนื้อหาของการสนทนา นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ยืนยันว่า ท่านได้หารือกับ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยกับตนเองแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามีความเห็นตรงกันกับจุดยืนของตนเองว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม หรือ Humanitarian demining เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งในปฏิญญาที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกัน ท่านจึงได้ขอให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้เร็วที่สุดเพราะมีความเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตคนของทั้ง 2 ประเทศ และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้ยืนยันฝากนายกรัฐมนตรีมาเลเซียให้มาแจ้งอีกครั้งว่า “สหรัฐอเมริกาจะไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาของไทยมาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้”
ทั้งนี้ตนเองยังได้ถามนายกรัฐมนตรีมาเลเซียว่า สามารถโพสต์ข้อความนี้ได้หรือไม่ ซึ่งได้รับการตอบรับว่า สามารถโพสต์ได้ และท่านจะโพสต์ยืนยันจากช่องทางการสื่อสารของท่านเช่นกัน จึงขอกราบเรียนมายังประชาชนที่มีความห่วงใยต่อเรื่องนี้เพื่อให้รับทราบโดยทั่วกัน อนึ่งจดหมายจากผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกาที่ระบุเรื่องการหยุดเจรจากับไทยได้ถูกพิมพ์ขึ้นก่อนที่จะได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อค่ำวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาดังนั้นข้อมูลของตนเองจึงมีความเป็นปัจจุบันมากกว่า








