ไทยเดินหน้าปกป้องอธิปไตย เก็บกู้ทุ่นระเบิด AOT ลงพื้นที่ “ผาหลวง” พบลอบวางทุ่นระเบิดใหม่

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยพลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก พลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ

นายสิริพงศ์ เน้นย้ำว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความมุ่งมั่น ตั้งใจอย่างหนักแน่นที่จะแก้ไขทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และต้องการผลักดันข้อตกลงการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี การแถลงข่าวครั้งนี้จึงได้ให้ฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการระงับ Joint Declaration การดำเนินการในส่วนที่ไทยได้ประโยชน์ บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศในเวทีโลกต่อประเด็นดังกล่าว และสถานการณ์ด้านการค้า ซึ่งแนวทางเรื่อง Joint Declaration กำหนดแนวทาง ดังนี้ 1) จากเดิมที่มี action plan เรื่องการถอนกำลังว่าจะเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 2 เดือน ขณะนี้ระงับอย่างไม่มีกำหนด 2) รัฐบาลยืนยันว่าจะเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ของไทยอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงว่าฝ่ายกัมพูชาจะเห็นด้วยหรือไม่ 3) ในการบริหารจัดการพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว จะมีการดำเนินการต่ออยู่ 4) การปราบปรามสแกมเมอร์ รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าต่อไป หากกลไกในระดับทวิภาคีไทย-กัมพูชาดำเนินการไม่ได้ จะใช้การดำเนินการในระดับพหุภาคี 5) การปล่อยเชลยศึกจะเป็นสิ่งสุดท้าย หลังจากที่เห็นว่าความเป็นปฏิปักษ์ของกัมพูชาหมดสิ้นไป จึงจะเริ่มเจรจา

พร้อมยืนยันว่าการปฏิบัติการทั้งหมดนี้ รัฐบาลและกองทัพยืนยันที่จะใช้แนวทางสันติวิธี แต่จะขอตอบโต้หากถูกยั่วยุตามความเหมาะสม พร้อมขอให้สื่อไทยและต่างประเทศระมัดระวังในการสื่อสาร โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน จะเห็นจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่สื่อต่างประเทศได้นำเสนอข่าวผิดพลาดนำมาซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ดังนั้นในการนำเสนอข่าวประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา และประเด็น  ที่เกี่ยวข้อง ขอให้ระมัดระวังในการสื่อสารเพราะผลกระทบจะเกิดขึ้นในวงกว้าง ทางรัฐบาลยืนยันว่าจะสื่อสาร ด้วยความรวดเร็ว และตรงไปตรงมา

สำหรับข้อกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการค้า ย้ำว่า นายกรัฐมนตรีได้ขอให้แยกประเด็นทวิภาคีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงระหว่างไทย-กัมพูชา ออกจากประเด็นผลประโยชน์ทางการพาณิชย์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาได้รับข่าวสารที่เป็นบวกกับแนวทางของนายกรัฐมนตรีผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งได้ยืนยันว่าทางสหรัฐอเมริกา จะแยกประเด็นนี้ออกจากกัน

ด้าน พลเรือตรี สุรสันต์ กล่าวว่าสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะเหตุทหารไทยเหยียบ ทุ่นระเบิดหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา สร้างความกังวลต่อความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม ถึง 10 พฤศจิกายน 2568 มีเหตุการณ์รวม 7 ครั้ง ซึ่งจากเหตุล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ที่บริเวณห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ยอดรวมผู้บาดเจ็บตั้งแต่เหตุการณ์แรกถึงปัจจุบัน มีจำนวน 20 นาย แบ่งเป็นบาดเจ็บขาขาด 7 นาย และบาดเจ็บจากแรงระเบิด 13 นาย จากการตรวจสอบของฝ่ายไทย เหตุการณ์ล่าสุดชัดเจนว่าเป็น “ทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ที่ถูกวางใหม่” ในพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้ไทย ได้เคลียร์จนปลอดภัยแล้ว นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิดอีก 3 ลูกที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งการวางทุ่นระเบิดทั้งหมดมีลักษณะบ่งชี้ว่าเป็นการวางใหม่ และเป็นการวางทุ่นระเบิดที่มีเจตนาเพื่อให้ถึงแก่ชีวิต นอกจากนี้ข้อกล่าวหาที่ไทย “วางทุ่นระเบิดเอง” ไม่เป็นความจริง โดยไทยได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาออตตาวาอย่างเคร่งครัด และได้รายงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ว่าไทยไม่มีการเก็บสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกประเภทตั้งแต่ปี 2562 อีกทั้งไทยได้เก็บกู้ทุ่นระเบิดแล้วกว่า 99.5% ของพื้นที่ทั้งหมด คงเหลือเพียง 12.8 ตารางกิโลเมตรใน 6 จังหวัด

ขณะเดียวกัน หลักฐานจำนวนมากชี้ว่า ฝ่ายกัมพูชามีการวางทุ่นระเบิดใหม่ ทั้งภาพถ่ายกำลังพลกัมพูชาถือทุ่นระเบิด PMN-2 คลิปวิดีโอการเคลื่อนย้ายทุ่นระเบิด 72B และการตรวจพบทุ่นระเบิดใหม่หลังเหตุปะทะบริเวณภูมะเขือในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเป็นท่าทีที่ขัดต่อพันธกรณีในอนุสัญญาออตตาวาและข้อตกลงร่วมต่าง ๆ ระหว่างไทย–กัมพูชา ทั้งนี้การวางทุ่นระเบิดของกัมพูชาถือเป็นการละเมิดปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) และละเมิดการปฏิบัติตามผลการประชุมคณะกรรมการ ชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee : GBC) ที่ระบุให้ทั้ง 2 ฝ่ายไม่กระทำการยั่วยุ ที่อาจทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น รวมถึงการที่จะไม่ขยายขอบเขตและระดับความขัดแย้งที่อาจทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ที่สำคัญกัมพูชายังละเมิดปฏิญญาร่วมอย่างชัดเจน

การกระทำของกัมพูชาทำให้ไทยมีความจำเป็นต้อง “ระงับการปฏิบัติตาม Action Plan” แต่ยังคงเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเขตแดนไทย 13 พื้นที่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่กองกำลังบูรพา กองกำลังสุรนารี และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด โดยกองทัพไทยยืนยันว่ายังคงพร้อมปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนทุกกรณี รวมถึงให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของประชาชนตามแนวชายแดนเป็นอันดับแรก เพราะทุ่นระเบิดเป็นอาวุธที่รุนแรง มีผลระยะยาวต่อร่างกาย จิตใจ และครอบครัวของผู้ได้รับผลกระทบ

ขณะที่การปราบปรามสแกมเมอร์ ยังคงต้องดำเนินการควบคู่กับการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยพลตำรวจตรี ศิริวัฒน์ ได้ให้ข้อมูลถึงความคืบหน้าปฏิบัติการกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ มีการจับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 7,000 ราย รวมถึงดำเนินคดีกับเครือข่ายซิมเถื่อน บัญชีม้า และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชื่อมสัญญาณผิดกฎหมายตามแนวชายแดน ขณะเดียวกันสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ข้ามชาติ โดย พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเดินทางไปประชุมที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเกี่ยวกับสแกมเมอร์ ร่วมกับเมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมีข้อริเริ่มว่าด้วยการปราบปรามและจัดการอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ โดยเห็นพ้องร่วมกันในการส่งมอบผู้ต้องหา แลกเปลี่ยนพยานหลักฐาน ดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินและสร้างกลไกความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อปกป้องประชาชนและความมั่นคงในภูมิภาค

ด้านนายนิกรเดช เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการในทุกระดับและทุกพื้นที่ เพื่อรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศอย่างรอบด้าน ทั้งการประท้วง การชี้แจง  ต่อประเทศคู่เจรจาและการสื่อสารกับประชาคมโลก โดยได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในหลายมิติ ในประเด็นการละเมิด Joint Declaration ของกัมพูชา นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์ติดต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา เพื่อประท้วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที และได้ส่งหนังสือประท้วงเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับ ผ่านสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อย้ำจุดยืนและความกังวลของฝ่ายไทยอย่างเป็นทางการ

กระทรวงการต่างประเทศยังได้ชี้แจงและหารือกับผู้นำสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย โดยนายกรัฐมนตรีมีหนังสือถึงผู้นำทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งเป็นสักขีพยานการลงนาม Joint Declaration ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ พร้อมส่งสำเนาหนังสือถึงประเทศสมาชิกทุกประเทศ โดยเน้นย้ำว่าไทยยึดมั่นในเส้นทางสันติภาพ และปฏิบัติตาม Joint Declaration มาโดยตลอด และยังได้ส่งหนังสือประท้วงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยแจ้งต่อประธานคณะมนตรีฯ พร้อมขอให้เวียนหนังสือให้สมาชิกคณะมนตรีฯ รับทราบ โดยใจความสำคัญคือการชี้ให้เห็นถึงการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยจากกัมพูชา หลังจากนี้กระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และได้ส่งหนังสือชี้แจงไปยังเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ และผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศประจำประเทศไทย พร้อมจัดบรรยายสรุปและประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วน นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทย       ทั่วโลกได้รับมอบแนวทางและเอกสารอธิบายเพื่อใช้ในการชี้แจงประเทศต่างๆ ให้เห็นข้อเท็จจริงว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงก่อน

ส่วนการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศนั้น นางสาวโชติมา ระบุว่า ไทยยังมีการพูดคุยกับสหรัฐอเมริกา อย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลล่าสุดของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกากล่าวถึงประเทศไทย มีความมั่นใจว่าสหรัฐอเมริกาจะมีเป้าหมายเดียวกันยังคงยึดมั่นในกรอบเวลาเดิม ที่ตั้งใจเจรจาในตัวรายละเอียดของความตกลงที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างตอบแทนให้เสร็จภายในสิ้นปีนี้  โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เน้นย้ำกับทาง สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) มาตลอดกระทรวงพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องและยึดมั่นในเป้าหมายเดิม และยังได้เตรียมการให้ผู้ประกอบการไทยมีขีดความสามารถ มีศักยภาพในด้านบริการ และด้านอื่นๆ รวมทั้งเตรียมหาตลาดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับประเทศคู่เจรจาที่มีอยู่ และขยายตลาดใหม่ ในแง่ของการทำความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เป็นการเตรียมพร้อมผู้ประกอบการในการต่อสู้ในช่วงภาวะการแข่งขันสูงที่มีปัจจัยหลายๆ อย่างที่เป็นผลกระทบต่อการค้า การลงทุน ในช่วงนี้ และมีการหารือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการทั้งหลายว่าวัตถุประสงค์ในการเจรจาและผลประโยชน์ ผลกระทบต่างๆ จะถูกนำมาพิจารณาอย่างครบถ้วนและรอบด้าน

ขณะที่ล่าสุดพบการลักวางทุ่นระเบิดใหม่ที่ฐานปฏิบัติการผาหลวง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ  โดยคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนประจำประเทศไทย (AOT) นำโดย พลจัตวา ซัมซุล ริซาล มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย หัวหน้าคณะ AOT และผู้สังเกตการณ์จาก บรูไน และฟิลิปปินส์ ลงพื้นที่ฐานปฏิบัติการผาหลวง อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ความไม่สงบตลอดแนวชายแดนไทย–กัมพูชา หลังเกิดกรณีทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาวางทุ่นระเบิดในพื้นที่ฝั่งไทย ซึ่งเข้าข่าย “ละเมิดปฏิญญาสันติภาพ” ที่ทั้ง 2 ประเทศลงนามร่วมกัน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568

พันตรี ผดุงเดช พ่อค้าช้าง รองผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 12 รายงานต่อคณะ AOT ว่า ระหว่างการลาดตระเวนในเส้นทางฝั่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเส้นทางประจำของชุดปฏิบัติการ กำลังพลได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 แต่ด้วยความโชคดีที่กลไกระเบิดทำงานไม่สมบูรณ์ ทำให้ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จากการตรวจสอบพื้นที่ พบทุ่นระเบิดรวม 4 ทุ่น โดย จุดแรก พบ 3 ทุ่น วางห่างกันประมาณ “หนึ่งก้าว” ห่างออกไป 50 เมตร พบเพิ่มอีก 1 ทุ่น ทั้ง 4 ทุ่นเป็นระเบิดใหม่ และมีการวางหลังเหตุการณ์ความขัดแย้ง แต่เป็นการวางหลังการลงนามในปฏิญญาสันติภาพ หรือไม่ ยังไม่สามารถระบุได้

คณะ AOT ให้ความสนใจในประเด็นของรูปแบบ และเจตนาในการหวังผลของการวางทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชา  ซึ่งพันตรี ผดุงเดช ชี้ว่าลักษณะการวางทุ่นระเบิดเป็น“รูปแบบโจมตีโดยเจตนา” มากกว่าการวาง เพื่อป้องกันตัวของฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากจุดเกิดเหตุอยู่ในดินแดนไทย และเป็นเส้นทางคู่ขนานในการลาดตระเวนร่วมก่อนเกิดความขัดแย้ง จึงถือเป็นการละเมิดปฏิญญาสันติภาพอย่างชัดเจน โดยทุ่นระเบิดที่เก็บกู้ได้จะถูกส่งตรวจสอบทางเทคนิคในระดับสากล เพื่อตรวจแหล่งที่มาที่แท้จริงต่อไป ด้านพลจัตวา ซัมซุล ริซาล มูซา กล่าวว่า ได้รับทราบสถานการณ์ที่กำลังพลไทยเหยียบทุ่นระเบิดรุ่นใหม่ และถือเป็นความโชคดีที่ระเบิดทำงานไม่เต็มที่ ไม่เกิดความสูญเสีย พร้อมทั้งหยิบทุ่นระเบิดที่พบในพื้นที่ขึ้นแสดงหมายเลขกำกับต่อสื่อมวลชน เป็นเชิงประจักษ์

การลงพื้นที่ครั้งนี้ถูกจับตาในระดับภูมิภาค เนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่ความตึงเครียดแนวชายแดนเพิ่มสูงขึ้น และถือเป็นการประเมินสถานการณ์ภายใต้กรอบสันติภาพอาเซียน หลังเกิดเหตุละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่องของฝ่ายทหารกัมพูชา

นอกจากนี้พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่ ช่องเหว บ้านไทยนิยม ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อติดตามและรับฟังผลการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดจาก ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) และหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 4 กองบัญชาการกองทัพไทย โดยมี กองทัพภาคที่ 2  กองกำลังสุรนารี ให้การสนับสนุนการปฏิบัติในพื้นที่ แม่ทัพภาคที่ 2 ได้รับทราบความก้าวหน้าของการปฏิบัติภารกิจ รวมถึงรับฟังปัญหา อุปสรรคด้านภูมิประเทศ และความเสี่ยงต่อการปฏิบัติงาน พร้อมกำชับให้ทุกหน่วยดำเนินงานด้วยความรอบคอบภายใต้มาตรการความปลอดภัยสูงสุด และสร้างการรับรู้ร่วมกับประชาชน เพื่อป้องกันอันตรายจากทุ่นระเบิดตกค้างในพื้นที่ชายแดน

สำหรับประเด็นการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตเชลยศึกสัญชาติกัมพูชาซึ่งเคยอยู่ในความดูแลของฝ่ายไทย ไปปรากฏตัวในพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารอีกครั้งนั้น กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ตลอดระยะเวลาที่อยู่ภายใต้การควบคุมตัว หน่วยงานด้านการแพทย์และการทหารของไทยได้ดูแลตามหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด โดยรายงานด้านการแพทย์ในขณะนั้นระบุว่าบุคคลดังกล่าวมีภาวะเจ็บป่วยและมีอาการตึงเครียดสะสมจากการปฏิบัติการรบ ซึ่งเข้าข่าย “ผู้เปราะบาง” ตามนิยามด้านสิทธิมนุษยชนและหลักมนุษยธรรมระหว่างประเทศ จึงได้มีการส่งตัวกลับประเทศเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสม

หลักการสากลภายใต้อนุสัญญาเจนีวากำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า อดีตเชลยศึกต้องไม่ถูกส่งกลับเข้าพื้นที่รบทันที โดยไม่ผ่านการประเมินด้านร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อบ่งชี้เกี่ยวกับภาวะบอบช้ำทางจิตใจหรือความไม่พร้อมด้านสุขภาพ การนำบุคคลที่อาจยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเต็มรูปแบบกลับสู่สนามรบ ย่อมเสี่ยงต่อชีวิตของบุคคลดังกล่าวเอง เพื่อนร่วมปฏิบัติการ และประชาชนในพื้นที่ จึงถือเป็นแนวปฏิบัติที่ฝ่ายไทยไม่สนับสนุน และขอเน้นย้ำว่าการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องมาก่อนข้อพิจารณาใดๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง