“นิกรเดช” ประณามกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลเท็จต่อเนื่อง ไร้หลักฐานหวังทำลายภาพลักษณ์ไทย-กัมพูชา เริ่มสำรวจปักหมุดชั่วคราว เขตแดนที่ 42-47 บ้านหนองหญ้าแก้ว-บ้านหนองจาน

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงพัฒนาการล่าสุด และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายนิกรเดช เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศ ยังเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงและอำนวยความสะดวกในการพาคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 คณะ AOT ลงพื้นที่ห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว และขณะนี้ ยังคงปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสะท้อนความจริงใจและท่าทีที่เปิดเผยและโปร่งใสของฝ่ายไทย วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 คณะ AOT ลงพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่สัตตะโสม จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจสอบกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและการตรวจพบทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่ และลงพื้นที่ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจสอบจุดที่พบทุ่นระเบิดใหม่ที่มีการหยอดกาวเพื่อขัดขวางการถอนสลักทุ่นระเบิด ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน และวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 คณะ AOT ลงพื้นที่ปราสาทคนา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทุ่นระเบิดและการละเมิดข้อตกลงต่างๆ ของฝ่ายกัมพูชา

ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน โดยฝ่ายกัมพูชานั้น ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ข่าวปลอมกล่าวหาว่า ไทยวางทุ่นระเบิดเองและเหยียบเอง และไทยเปิดฉากยิงโจมตีที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว โดยฝ่ายกัมพูชายังได้นำภาพศพชาวกัมพูชาที่เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวไปแอบอ้างว่าเป็นศพเชลยศึกกัมพูชาที่อยู่ในไทย กัมพูชายังใช้สงครามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้มีตัวอย่างข่าวปลอมจากฝ่ายกัมพูชาอีก 2 เรื่อง ได้แก่

          1. การกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ทหารไทยกำลังเตรียมการโจมตีพื้นที่ทมอดาและโอพลุกด็อมเร็ย ในจังหวัดโพธิสัตว์ ซึ่งกองทัพเรือชี้แจงทันทีว่า ไม่เป็นความจริงและไม่มีเหตุการณ์ปะทะใดๆ เกิดขึ้น

          2. การกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ไทยทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดสตรีชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายที่จังหวัดจันทบุรี จากการตรวจสอบกับทุกหน่วยงาน ยืนยันว่า ไม่พบเหตุการณ์ตามที่ถูกกล่าวหาและไม่มีหน่วยทหารไทยใดมีพฤติกรรมตามที่สื่อและหน่วยงานรัฐของกัมพูชากล่าวอ้าง ในกรณีนี้ฝ่ายไทยประณามการกล่าวหาดังกล่าวของกัมพูชาที่ไร้หลักฐานรองรับและมีจุดประสงค์เพียงเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาประเทศ

การปฏิบัติการต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ไทยเป็นไปตามกฎหมายไทย หลักสิทธิมนุษยชน และหลักสากลต่างๆ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่มีการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีหรือเข้ามาทำงานผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ไทยให้ที่พักพิง ดูแลความปลอดภัย และจัดอาหารให้ครบทุกมื้อก่อนดำเนินการตามขั้นตอนส่งกลับประเทศอย่างเป็นระบบ และมีหน่วยงานต่างๆ ร่วมภารกิจอย่างมีเอกภาพและโปร่งใส การดำเนินการของไทยมีแนวปฏิบัติที่มีมาตรฐาน (Standard Operating Procedure: SOP) ชัดเจน และบริหารจัดการกับผู้หลบหนีเข้าเมืองเป็นกลุ่ม โดยไม่มีการให้อยู่ลำพัง ทำให้มีสักขีพยานตลอดกระบวนการดูแลผู้หลบหนีเข้าเมือง ทั้งนี้ประเทศไทยเคารพและยึดมั่นในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรม โดยเป็นภาคีตราสารด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่สำคัญ 8 ฉบับจากทั้งหมด 9 ฉบับ และให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ ประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติถึงสองวาระ (วาระปี ค.ศ. 2010 – 2013 และ ค.ศ. 2025 – 2027) และการปฏิบัติตามพันธกรณีและคำมั่นด้านสิทธิมนุษยชนของไทยได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดจากหลายกลไก ทั้งจากภาครัฐ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิฯ ของไทยเป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง และองค์กรภาคประชาสังคมที่เป็นอิสระและเข้มแข็ง ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงไม่ให้คุณค่ากับข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลและมีเจตนาร้าย

สำหรับเรื่องการประสานงานระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา หลังจากการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นายกรัฐมนตรีส่งหนังสืออีกหนึ่งฉบับถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เพื่อย้ำถึงการละเมิดถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ของกัมพูชา รวมทั้งขอให้กัมพูชาไม่ขัดขวางปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของไทย และแสดงความจริงใจที่จะปฏิบัติตาม Joint Declaration และกลับสู่เส้นทางแห่งสันติภาพร่วมกับไทย โดยประเทศไทยยืนยันท่าทีเดิมว่า ประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และประเด็นการเจรจาการค้าไทย- สหรัฐอเมริกา เป็น 2 ประเด็นที่แยกจากกัน โดยที่ประเด็นแรกเป็นเรื่องความมั่นคง ส่วนประเด็นหลังเป็นเรื่องการค้าทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงไม่เห็นด้วยกับการผูก 2 เรื่องนี้ไว้ด้วยกัน และยินดีกับบทบาทสร้างสรรค์ของสหรัฐอเมริกา ที่จะผลักดันให้กัมพูชา ซึ่งเป็นฝ่ายละเมิด Joint Declaration กลับมาปฏิบัติตามถ้อยแถลงร่วมอย่างเคร่งครัด ยืนยันว่าหน่วยงานไทยทุกหน่วยงานจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทยในทุกมิติ

นอกจากนี้ระหว่างวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2568 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม EU Indo-Pacific Ministerial Forum (IPMF) ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดโดยสหภาพยุโรป ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม คาดว่าจะมีผู้แทนประมาณ 70 ประเทศเข้าร่วม การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การสร้างอนาคตที่ยืดหยุ่น มั่งคั่ง และมั่นคง ร่วมกัน” (Building together a resilient, prosperous and secure future) มีเป้าหมายให้ประเทศที่เข้าร่วมมาแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับวิธีการเสริมสร้างความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปและภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งนายสีหศักดิ์ จะแสดงวิสัยทัศน์และท่าทีไทยผ่านการกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมโต๊ะกลมของ IPMF ด้านความมั่นคง ในหัวข้อ “Security Priorities in the Face of Current Geopolitical Developments” ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยควรจัดลำดับความสำคัญต้นๆ เพื่อรับมือกับพัฒนาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน ทั้งยังจะเป็นผู้แทนประเทศจากภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก กล่าวสุนทรพจน์หลัก ในช่วงปิดการประชุมเต็มคณะ และยังมีกำหนดพบหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รวมถึงผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปด้านการต่างประเทศและนโยบายด้านความมั่นคง รวมกว่า 8 ประเทศ การเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของไทยในการเสริมสร้างเสาหลักความร่วมมืออินโด-แปซิฟิกของสหภาพยุโรป และจะเป็นโอกาสในการผลักดันผลประโยชน์ร่วมกันของไทยกับภูมิภาคในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรวมถึงการหลอกลวงออนไลน์ ทั้งยังเป็นโอกาสในการชี้แจงข้อเท็จจริงและท่าทีไทยในประเด็นเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชากับนานาประเทศด้วย

ส่วนการปราบปรามอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต หรือสแกมเมอร์ ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (online scams) ระหว่างวันที่ 17 – 18 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีนายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้นำการบรรยาย การประชุมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์สำคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1. สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อต่อต้านออนไลน์สแกม 2. ส่งเสริมการทำงานที่สอดประสานกันมากขึ้นในการป้องกัน สอบสวน และขจัดการหลอกลวงทางออนไลน์ รวมทั้งการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับทำงานให้กับขบวนการผิดกฎหมายดังกล่าว ซึ่งจะเสริมความพยายามของหน่วยงานไทยในเรื่องนี้ด้วย อาทิ การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ระหว่าง 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่นครคุนหมิง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งมีผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วม โดยที่ประชุมดังกล่าวเห็นควรเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนพยานหลักฐาน การส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการแบ่งปันข่าวกรอง

ทางด้านการเดินหน้าทำความเข้าใจข้อเท็จจริงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในส่วนทหารนั้น กองทัพบก นำคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย รวม 20 นาย จาก 17 ประเทศ เดินทางลงพื้นที่กองกำลังบูรพา จังหวัดสระแก้ว เพื่อเยี่ยมชมการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ภายใต้กิจกรรม Army Open House ของกรมข่าวทหารบก ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 โดยมี พลโท ธีรนันท์ นันทขว้าง เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นหัวหน้าคณะเดินทาง โดยได้เดินทางไปยัง กองพันทหารราบที่ 12 กรมทหารราบที่ 3 รักษาพระองค์ ค่ายสุรสิงหนาท อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รับทราบข้อมูลพื้นที่ปฏิบัติการ และการดำเนินงานของกองกำลังบูรพา หลังรัฐบาลได้มีมติระงับข้อตกลงในถ้อยแถลงร่วม และทางการไทยยืนยันที่จะดำเนินการในส่วนของประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยให้ประชาชน

คณะได้เดินทางไปเยี่ยมชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ซึ่งเป็นด่านชายแดนสำคัญในการควบคุมการสัญจรและการค้าชายแดนฝั่งตะวันออก ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ซึ่งในบริเวณดังกล่าวสามารถสังเกตเห็นอาคาร Entertainment Complex ได้อย่างชัดเจน โดยคณะได้รับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับแหล่ง Scam Center ในฝั่งปอยเปต สถานการณ์ และการปราบปรามขบวนการ จากนั้นได้เดินทางไปยังพื้นที่บ้านหนองจาน เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และบ้านหนองหญ้าแก้ว ในการจัดการชายแดน และสำรวจสภาพความเสียหายจากการยิงยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาที่ผ่านมา กิจกรรม Army Open House ในครั้งนี้ทำให้คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย ได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ และเข้าใจบริบทความซับซ้อนของปัญหาชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา รวมทั้งเห็นถึงความพยายามของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาและสนับสนุนการสร้างสันติภาพตามกรอบข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ซึ่งข้อมูลสำคัญดังกล่าว จะทำให้คณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศ สามารถสื่อสารขยายผลไปยังประเทศของตนเองได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์

ขณะที่ชุดสำรวจปักหมุดชั่วคราวร่วม ไทย-กัมพูชา ได้เริ่มปฏิบัติการสำคัญตามแผนงานที่ตกลงร่วมกัน โดยได้มีการบินโดรนเพื่อวางภาพถ่ายทางอากาศและกำหนดพิกัดนำไปสู่การเดินสำรวจร่วมและปักหมุดเขตแดนชั่วคราวในพื้นที่ตามแนวอ้างสิทธิของทั้ง 2 ประเทศ ช่วงหลักเขตแดนที่ 42 – 47 บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ขณะนี้ได้เริ่มปฏิบัติการหลักเขตที่ 42 เพื่อกำหนดพิกัดสำหรับการดำเนินการต่อไป สำหรับการปักหมุดชั่วคราวจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงแรก หลักเขตที่ 42-43 ช่วงที่ 2 หลักเขตที่ 43-46 และช่วงที่ 3 หลักเขตที่ 46-47 โดยขั้นตอนแรก จะเป็นการบินโดรนเพื่อสำรวจแนวเขต ใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน จากนั้นจึงจะกำหนดวันที่จะเข้าไปปักหมุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง