นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ประจำปี พ.ศ. 2569 โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ปลัดกระทรวง อธิบดี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ร่วมกับ
ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ
นายโสภณ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ดำเนินการประชุมเพื่อกำชับและติดตามการเตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ได้มอบหมายให้ทุกกระทรวงเร่งบูรณาการการทำงานอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อให้ระดับฝุ่น PM2.5 ลดลงอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
1. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กำชับหน่วยงานในสังกัดที่ดูแลในพื้นที่รับผิดชอบ เฝ้าระวังและควบคุมการเผาอย่างเข้มงวด บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ฝ่าฝืนโดยเคร่งครัด รวมทั้งใช้มาตรการต่าง ๆ จูงใจประชาชนในพื้นที่ให้มีส่วนร่วม งดการเผา เพื่อร่วมสร้างอากาศสะอาด
2. ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการหน่วยงานตรวจสอบ/ตรวจจับยานพาหนะควันดำ การควบคุมฝุ่นละอองในพื้นที่ก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ การตรวจวัดมลพิษ
ทางอากาศของโรงงานอุตสาหกรรมครอบคลุมทุกพื้นที่ และบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
3. ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกรมประชาสัมพันธ์
แจ้งเตือน สื่อสาร สร้างการรับรู้ให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ มาตรการ ข้อกฎหมาย และบทลงโทษกรณีการฝ่าฝืน และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐในทุกมิติ รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการจัดหน่วยบริการลงพื้นที่ให้คำแนะนำประชาชนเกี่ยวกับการปฏิบัติตนและการดูแลสุขภาพ จัดเตรียมห้องปลอดฝุ่น จัดพื้นที่ปลอดภัย (Safety Zone) เพื่อรองรับประชาชนกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบางได้อย่างเหมาะสม
4. ให้ทุกจังหวัด และกรุงเทพมหานคร บูรณาการและประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การเตรียมความพร้อม การเผชิญเหตุ โดยใช้ระบบศูนย์สั่งการแบบเบ็ดเสร็จ (Single Command) ภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าควบคุมสถานการณ์ อำนวยการ และสั่งการในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ หากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในพื้นที่มีแนวโน้มสูงขึ้น หรือเกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง ให้ยกระดับการปฏิบัติแก้ไขปัญหาในทุกมิติอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อลดการเกิดมลพิษจากแหล่งกำเนิดต่างๆ การดูแลผลกระทบต่อประชาชน กลุ่มเปราะบาง เด็กและเยาวชนในสถานศึกษา การแจ้งเตือนสถานการณ์ให้เน้นสร้างการรับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น การพิจารณาประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตลอดจนเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
นายโสภณ ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลสั่งการให้ทุกจังหวัดดำเนินมาตรการระยะสั้นในพื้นที่อย่างเข้มข้น โดยเน้นให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการถ่ายทอดข้อสั่งการลงสู่ระดับอำเภอ ขณะที่นายอำเภอ ต้องกำกับดูแลและผลักดันให้กำนันและผู้ใหญ่บ้าน นำมาตรการไปปฏิบัติในระดับชุมชนอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและลดปัญหาในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ระดับพื้นที่จากกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดังนี้
1. การสนับสนุนการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในระดับพื้นที่ ได้แก่
– การใช้กลไกกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ในการสั่งการ อำนวยการ และติดตามสถานการณ์ โดยได้จัดประชุมกำกับติดตามในช่วงสถานการณ์รุนแรงจากเดือนมกราคม–มีนาคม รวม 27 ครั้ง พร้อมออกข้อสั่งการในระดับพื้นที่ 6 ครั้ง อาทิ การจัดกิจกรรม kick off เคาะประตูบ้าน “หยุดเผา หยุดฝุ่น
เพื่อคุณ เพื่อเรา”
– แจ้งเตือนสถานการณ์ PM2.5 ผ่านความร่วมมือกับหลายหน่วยงาน เช่น กรมควบคุมมลพิษ กรมอุตุนิยมวิทยา และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) พร้อมแจ้งเตือนผ่านทุกช่องทางทั้งทางการและไม่เป็นทางการ เช่น แอปพลิเคชัน Thai Disaster Alert และช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยปีนี้ ปภ. จะเริ่มใช้การแจ้งเตือนภัยผ่านสัญญาณโทรศัพท์มือถือ (Cell Broadcast) ในการแจ้งเตือนประชาชน โดยหากค่าฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าเกิน 75.1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งอยู่ในระดับสีแดงที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ปภ. จะทำการส่งข้อความแจ้งเตือนภัยผ่าน Cell Broadcast ให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทันที
– สนับสนุนทรัพยากรให้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด แบ่งเป็น ภาคพื้นดิน สนับสนุนเครื่องจักรกล
สาธารณภัย ด้านไผ่จากไฟป่าและหมอกควัน สาธารณภัยจากศูนย์ ปภ. เขต ทั้ง 18 แห่ง รวม 316 หน่วย สำหรับการเฝ้าระวัง การลาดตระเวน การเพิ่มความชุ่มชื้น และการดับไฟป่า ปฏิบัติการอากาศ ร่วมกับกองทัพบก สนับสนุนเฮลิคอปเตอร์ KA-32 จำนวน 4 ลำ ปฏิบัติการบินดับไฟป่า 343 เที่ยว ใช้น้ำรวม 1,029,000 ลิตร ในพื้นที่ 7 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก ลำพูน ลำปาง นครราชสีมา และกาญจนบุรี
2. การขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ผ่านระบบ Single Command โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ในการเข้าควบคุมสถานการณ์ อำนวยการ สั่งการ และประสานการปฏิบัติระหว่างหน่วยงานต่างๆ ได้แก่
– มาตรการเตรียมความพร้อม การจัดทำแผนเผชิญเหตุ การเตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่อาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก (อถล.) และจิตอาสา การจัดตั้งจุดตรวจ–จุดสกัดการเผา และการรณรงค์สร้างการรับรู้แก่ประชาชน
– มาตรการป้องกันและแก้ไขเชิงพื้นที่ ได้แก่ การออกประกาศจังหวัด การลาดตระเวนดับไฟป่า การแปรรูปวัสดุการเกษตรเพิ่มมูลค่า มาตรการตรวจรถควันดำ การฉีดล้างเพื่อลดฝุ่น และการตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม/โครงการก่อสร้าง
– มาตรการเผชิญเหตุ สั่งการผ่านศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด การประกาศเขตควบคุมการเผาหรือห้ามเผา รวมถึงการประกาศเขตช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีไฟป่าและ PM2.5 ในพื้นที่ 1 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน
สำหรับการเตรียมการปี 2568–2569 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในด้านการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การลดการเกิดฝุ่นจากแหล่งกำเนิด การดูแลสุขภาพประชาชน การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และการใช้ระบบ Single Command ให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2568-2570 และระยะ 5 ปีต่อไป เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เปิด “ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ หรือ ศกพ.” ร่วมกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และเครือข่ายความร่วมมือ พร้อมมอบนโยบายด้านการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์มลพิษทางอากาศและการเสริมประสิทธิภาพระบบการแจ้งเตือนให้แก่ประชาชน โดยบูรณาการความร่วมมือร่วมกับหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา GISTDA กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เพื่อบูรณาการข้อมูลที่สำคัญในการใช้เฝ้าระวังและแจ้งเตือนสถานการณ์ PM2.5 แก่ประชาชน
นายสุชาติ กล่าวว่า ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ หรือ ศกพ. เป็นกลไกสำคัญในการบูรณาการข้อมูลคุณภาพอากาศและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชนแบบ “Real-time” รวมถึงเป็น ศูนย์ปฏิบัติการด้านการสื่อสารสถานการณ์ฝุ่นเพียงศูนย์เดียวของประเทศ ที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลอย่างเป็นทางการและเชื่อถือได้
โดยปัจจุบันมีการยกระดับระบบการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองที่สำคัญผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่
1. ระบบแจ้งเตือนผ่านโทรศัพท์มือถือ “Cell Broadcast”
2. การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน และช่องทางออนไลน์ “Line Alert”
3. การส่งข้อความ SMS Alert ในพื้นที่เสี่ยง เชื่อมโยงข้อมูลกับแพลตฟอร์มเอกชน เพื่อให้การสื่อสารครอบคลุมทุกกลุ่มประชาชน
โดยในการเปิดศูนย์ฯ มีการนำเสนอภารกิจหลักของศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ ที่ทำหน้าที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1. เฝ้าระวังและคาดการณ์ โดยติดตามตรวจสอบสถานการณ์คุณภาพอากาศอย่างใกล้ชิด และคาดการณ์แนวโน้มปัญหามลพิษทางอากาศในอนาคตล่วงหน้า 7 วัน 2. แจ้งเตือนสถานการณ์คุณภาพอากาศและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพประชาชนอย่างรวดเร็วและชัดเจน และ 3. การสื่อสารสาธารณะ โดยเป็นศูนย์กลางในการสื่อสารข้อมูลด้านมลพิษทางอากาศไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการสนับสนุนข้อมูล ส่งต่อข้อมูลให้กับศูนย์ปฏิบัติการที่รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาโดยตรง เพื่อให้การตัดสินใจและดำเนินการมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 68 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็นชอบตามที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ ให้ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี 100% จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน 2568 ไปจนถึง สิ้นเดือนธันวาคม 2568 เพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ครบทุกสิทธิ์ และเป็นส่วนหนึ่งของการลดปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการเผาอ้อยในฤดูผลิต ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการสร้างแรงจูงใจให้ชาวไร่อ้อยหันมาตัดอ้อยสดแทนการเผา ซึ่งช่วยลดมลพิษ PM 2.5 ในหลายจังหวัดภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยรัฐบาลอนุมัติกรอบวงเงินรวม 5,175 ล้านบาท ใช้แหล่งเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไปพลางก่อน และจัดสรรค่าชดเชยต้นทุนทางการเงินรวม 158.58 ล้านบาท ตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการกลั่นกรองฯ เคยอนุมัติไว้ อีกทั้งยังมีเกษตรกรบางส่วนที่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือแต่ยังไม่สามารถยืนยันตัวตนหรือปรับปรุงข้อมูลในแอปพลิเคชันของภาครัฐได้ครบถ้วน ทำให้ยังไม่ได้รับการโอนเงินตามกำหนด จึงจำเป็นต้องขยายเวลา เพื่อให้เกษตรกรทุกคนที่มีสิทธิ์สามารถรับเงินได้ครบถ้วน ไม่ตกหล่นแม้แต่รายเดียว นอกจากการขยายเวลาจะช่วยให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับเงินสนับสนุนครบถ้วนแล้ว ยังเป็นมาตรการเสริมเพื่อควบคุมมลพิษอากาศในช่วงฤดูฝุ่น PM2.5 ซึ่งเริ่มเข้าสู่ช่วงวิกฤติอีกครั้งในปลายปี พร้อมย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับทั้งรายได้เกษตรกรและคุณภาพอากาศของประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน








