“เอกนิติ” เร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้บ้าน ปรับลดต้น ลดดอก และยืดหนี้ เพื่อให้ลูกหนี้กลับมายืนได้ใหม่ และคนไทยมีบ้าน

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินส่งท้ายปีครั้งที่ 8 Money Expo 2025 Bangkok Year-End ที่จัดระหว่างวันที่ 20 – 23 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยนายเอกนิติ กล่าวเปิดวิสัยทัศน์ “Resilient Wealth” ว่า เป็นแนวคิดหลักของรัฐบาลในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนสูงมากและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากมาตรการภาษีสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาน้ำมัน และราคาทองคำ ดังนั้น หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไปได้ต้องสร้างความยืดหยุ่นและยั่งยืนให้กับประชาชนตั้งแต่ระดับฐานราก ผู้ประกอบการขนาดกลาง รวมถึงประเทศด้วย เพื่อให้เกิดความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน หรือ Resilient Wealth ควบคู่ไปกับการสร้างความรู้และวินัยทางการเงิน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดหลักของงานมหกรรมการเงิน Money Expo ในครั้งนี้

โดยรัฐบาลมุ่งเน้นนโยบาย Quick Big Win ซึ่งหมายถึงการทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ใหญ่พอ มีการกระจายตัว และให้ผลในระยะยาว เพื่อให้ประเทศชาติมีความยั่งยืน สำหรับในระดับประชาชน รัฐบาลได้ดำเนินโครงการ เช่น “คนละครึ่ง พลัส” และการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐ ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้คึกคักขึ้น โดยทั้งหมดนี้ดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของการมีวินัยการคลัง และไม่ต้องการก่อหนี้ใหม่ แต่ใช้เงินจากกรอบวงเงินเดิมที่มีอยู่ ขณะที่ยังมีมาตรการสำคัญที่เพิ่งเปิดตัวไปคือการ เพิ่มทักษะ (Upskill/Reskill) ให้กับกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการผนวกเรื่องทักษะทางการเงินเข้าไปด้วย โดยมีการดำเนินการ ได้แก่

เพิ่มทักษะการขาย โดยมีการจับมือกับทุกแพลตฟอร์ม Food Delivery เพื่อให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยเรียนรู้การขายออนไลน์ เพื่อขยายตลาด ข้อมูลล่าสุดพบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 3-4 เท่า และผู้ส่งสินค้าหรือ Rider มีรายได้เพิ่มขึ้น 15%

ทักษะทางการเงิน รัฐบาลได้ร่วมมือกับธนาคารออมสินและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อสอนการทำบัญชีอย่างง่าย ๆ และเชื่อมโยงไปยังธนาคารต่าง ๆ โดยการทำบัญชีจะช่วยให้ผู้ค้าทราบต้นทุน ลดต้นทุน และเพิ่มกำไร โดยธนาคารออมสินยังสามารถปล่อยกู้ให้พ่อค้าแม่ค้าได้ ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo เพื่อลดปัญหาการกู้นอกระบบ

ทักษะดิจิทัลและ AI โดยมีการจับมือกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เพื่อมอบโปรแกรมซื้อขายออนไลน์และโปรแกรมลงบัญชีออนไลน์ให้ใช้ฟรีถึง 6 เดือน

นอกจากนี้ในฝั่งของประชาชนรัฐบาลได้ดำเนินโครงการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับกลุ่มคนตัวเล็กที่มีหนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท โดยร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ผ่านกลไกบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) โดยมีเป้าหมายช่วยประชาชนประมาณ 3.4 ล้านคน ให้สามารถหลุดพ้นจากวงจรหนี้ได้ ขณะที่หัวใจสำคัญของโครงการนี้ไม่ใช่แค่การลดหนี้แต่คือการชุบชีวิตให้กับประชาชนโดยการเพิ่มทักษะทางการเงินและวินัยทางการเงินเพื่อให้สามารถกู้หนี้ใหม่ได้แต่ต้องเป็นหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจหรือสร้างบ้านไม่ใช่หนี้เพื่อการบริโภคเหมือนเดิม    

สำหรับเรื่องการออมภาคประชาชน รัฐบาลมีแนวคิดที่จะแบ่งเงินจากค่าบริหารจัดการของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้กับผู้ที่ไม่ถูกรางวัล โดยเงินออมนี้จะถูกนำไปตั้งเป็นกองทุนเพื่อลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ปลอดภัยและมีการกำกับดูแล โดยสามารถถอนออกได้เมื่ออายุ 55 ปี หรือ 5 ปีสำหรับผู้ที่อายุเกิน 55 ปีแล้ว เพื่อให้มี resilient wealth การสร้างความมั่งคั่งแบบยืดหยุ่นเพื่อความยั่งยืน
ในวันที่สูงอายุแล้ว

นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs รัฐบาลอยู่ระหว่างจัดทำแพ็กเกจขนาดใหญ่สำหรับ SMEs
ซึ่งครอบคลุมทั้งด้านการเงิน การค้ำประกัน และภาษี เช่น มีการใช้หลักการ “พี่ช่วยน้อง” หรือ บริษัทใหญ่ช่วยบริษัทเล็ก รวมถึงการสนับสนุนให้ SMEs ไทยเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้มากขึ้น ขณะที่รัฐบาลกำลังทำงานร่วมกับ ธปท. เพื่อคิดแคมเปญใหม่ ๆ ในการเข้าไปค้ำประกันเครดิตให้กับผู้ประกอบการ รวมถึงอยู่ระหว่างการจัดทำโครงการ Supply Chain Financing โดยใช้ระบบดิจิทัล เพื่อให้ SMEs นำคำสั่งซื้อ (Purchase Order) จากบริษัทใหญ่หรือภาครัฐมาวางไว้เป็นหลักประกัน ทำให้ธนาคารกล้าปล่อยกู้ และช่วยให้ SMEs มีสภาพคล่อง เพื่อให้ SMEs อยู่รอดในระยะยาวและสามารถแข่งขันได้ รัฐบาลจะสนับสนุนการปรับเปลี่ยนธุรกิจ (Business Transformation) ไปสู่การใช้ Automation และ AI โดยใช้กลไกของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อน

ในส่วนการสร้างความยั่งยืนในระดับประเทศ รัฐบาลมีเป้าหมายในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติผ่านการสร้างวินัยทางการคลัง โดยสิ่งแรกที่รัฐบาลดำเนินการหลังเข้ารับตำแหน่ง คือการคืนหนี้ที่ค้างชำระตามมาตรา 28 ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 68 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติแผนการคลังระยะปานกลางที่ตั้งเป้าลดการขาดดุลให้ต่ำกว่า 3% ของ GDP ภายในปี 2572 จากปัจจุบันที่ 4.4% อย่างไรก็ตาม การแสดงวินัยทางการคลังดังกล่าวทำให้หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถืออย่าง S&P (Standard & Poor’s) ไม่ปรับลด Outlook ของประเทศไทย แม้ว่า Moody’s และ Fitch Ratings จะมีการปรับ Outlook ประเทศไทยจาก stable เป็น negative ไปก่อนหน้านี้

นายเอกนิติ ย้ำว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนเพื่ออนาคตโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่และพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจและไทยยังมีการลงทุนในส่วนนี้น้อย อย่างไรก็ตามเนื่องจากรัฐบาลมีข้อจำกัดด้านหนี้สินจะใช้กลไก Infrastructure Fund (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) เพื่อให้บริษัทต่างๆ สามารถระดมทุนใหม่ไปใช้ในการขยายกิจการทำให้สินทรัพย์ของประเทศใหญ่ขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังพิจารณาแนวทาง Thailand Individual Saving Account (TISA) (ส่งเสริม การออมในหุ้นไทย และสร้างวินัยในการลงทุนระยะยาว) เพื่อแก้ไขความบิดเบือนในตลาดทุนที่ปัจจุบันประชาชนซื้อกองทุน เช่น LTF หรือ RMF เพียงเพราะเหตุผลด้านการลดหย่อนภาษี โดย TISA จะให้ประชาชนสามารถเลือกกองทุนได้ตามความเสี่ยงของตนเอง โดยมีหน่วยงานกำกับดูแลตรวจสอบว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดี เช่นเดียวกับประกันชีวิตที่จะมีการปรับให้ประชาชนสามารถจัดการผลิตภัณฑ์ประกันของตนเองได้ โดยไม่ทำให้เกิดความบิดเบือนในตลาด

ขณะที่ นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. เดินหน้าสานต่อพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ด้วยการจัดผลิตภัณฑ์ทางการเงินพร้อมโปรโมชันสุดพิเศษ
ร่วมในงาน “มหกรรมการเงินกรุงเทพส่งท้ายปี ครั้งที่ 8 ประกอบด้วย

(1) สินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นำโดย สินเชื่อบ้าน 72 ปี ธอส. : ครอบคลุมทุกวัตถุประสงค์การกู้ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 0.72% ต่อปี นาน 6 เดือนแรก เดือนที่ 7 – 24 เท่ากับ 2.72% ต่อปี ปีที่ 3 – 6 เท่ากับ MRR-2.525% ต่อปี ปีที่ 7 จนถึงตลอดอายุสัญญา หากเป็นกรณีลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี กรณีลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี และกรณีซื้ออุปกรณ์ฯ หรือ ชำระหนี้ฯ เท่ากับ MRR (อัตราดอกเบี้ย MRR ของ ธอส. ปัจจุบันเท่ากับ 6.245% ต่อปี) ผ่อนสบายนาน 72 เดือน อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก เท่ากับ 2.72% ผ่อนชำระนานสูงสุด 40 ปี ผ่านโครงการสินเชื่อที่เหมาะสมสำหรับบุคคลแต่ละกลุ่ม อาทิ สินเชื่อบ้าน GHB Precious ปี 2568 สินเชื่อบ้าน Life Begins with GHB ปี 2568 (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) 

(2) สลากออมทรัพย์ ธอส. โค้งสุดท้ายสำหรับ สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุด นาคราช 2 หน่วยละ 1,000 บาท อายุสลาก 3 ปี (รับผลตอบแทนขั้นต่ำ 1.34% ต่อปี เมื่อลงทุนตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป) ออกรางวัลทุกเดือน รวม 36 ครั้ง โดยมีรางวัลที่ 1 มูลค่า 3 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัลต่อหมวด และสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพิมานมาศ ปี 2568 หน่วยละ 50,000 บาท อายุสลาก 2 ปี (รับผลตอบแทนขั้นต่ำ 1.3168% ต่อปี เมื่อลงทุนตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป) ออกรางวัลทุกเดือน รวม 24 ครั้ง ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มูลค่า 3 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล (เสี่ยงหมวด) ซึ่งจะให้ผลตอบแทนดี และมีโอกาสในการถูกรางวัลสูง

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ Smart Senior สำหรับลูกค้าที่มีอายุ 55 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ให้อัตราดอกเบี้ยสูงถึง 1.40% ต่อปี (ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ Smart Senior ของธนาคาร) จ่ายดอกเบี้ยรายสัปดาห์ ฝาก – ถอน ได้สะดวก และสามารถใช้บริการผ่าน Application GHB ALL GEN ได้

          (3) บ้านมือสอง ธอส. คุณภาพดี ทำเลเด่นหลากหลายประเภท ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ มาจำหน่ายกว่า 600 รายการทั่วประเทศ ในราคาลดสูงสุดถึง 50% จากราคาปกติ และสำหรับลูกค้าที่จองซื้อทรัพย์ในงานและทำสัญญาจะซื้อจะขายภายในระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด ทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมรับเงื่อนไขพิเศษ ผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อทรัพย์ได้ในงาน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. หรือสามารถดูรายการทรัพย์ได้ที่ Application : GHB ALL HOME หรือ www.ghbhomecenter.com

สามารถสอบถามรายละเอียดงาน “มหกรรมการเงินกรุงเทพส่งท้ายปี ครั้งที่ 8 เพิ่มเติมได้ที่ ธอส.
ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 Website : www.ghbank.co.th หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ GHBank Social Media

ด้านธนาคารออมสิน จัดโปรโมชันพร้อมผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบครัน ในงานดังกล่าว ทั้งเงินฝากส่งเสริมการออม และสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ อาทิ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 99 วัน ดอกเบี้ยแบบ Step Up เฉลี่ย 1.90% (เทียบเท่าเงินฝากประจำ 2.23% ต่อปี) เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ฝากสูงสุด 500,000 บาทต่อราย จองสิทธิ์ภายในงาน จำนวนจำกัด วันละ 200 สิทธิ์ และ 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 5 เดือน ดอกเบี้ย 1.00% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.17% ต่อปี) และเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 7 เดือน ดอกเบี้ย 1.05% ต่อปี (เทียบเท่าเงินฝากประจำ 1.23% ต่อปี) นอกจากนี้ ธนาคารยังจัดสินเชื่อเคหะ Refinance ดอกเบี้ย 3 เดือนแรก 0% สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และผู้กู้ประสงค์ทำประกันฯ เฉลี่ย 3 ปีต่ำสุด 2.75% ต่อปี รวมถึงสินเชื่อบ้านออมสินสบายใจ และสินเชื่อเพื่อสร้างธุรกิจ GSB D-VERs

นอกจากนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังได้ประธานเปิดโครงการ “ฝ่าฟัน ดัน SMEs สู่แหล่งทุน” นำร่องพื้นที่แรกที่จังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมชูบริการ “3 เติม” เสริมแกร่ง SMEs แบบครบวงจร โดยมอบหมายธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เดินหน้านโยบาย “ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน” หนุนผู้ประกอบการ SMEs ในภูมิภาค ผ่านงานมหกรรมดังกล่าว เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงบริการสำคัญ ทั้งด้านเงินทุน การพัฒนาธุรกิจ และการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืน นายธนกร กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่รุนแรง รัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับ SMEs ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของประเทศ พร้อมผลักดันทุกหน่วยงานภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรมขับเคลื่อนนโยบาย “ฝ่า-ฟัน-ดึง-ดัน” อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับแนวทาง “Quick Big Win” ของรัฐบาล

ด้านนายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank เปิดเผยว่า หลังจากเปิดบริการ “ศูนย์ฝ่าฟัน ดัน SMEs” ครอบคลุม 96 สาขาทั่วประเทศ ธนาคารได้จัดมหกรรมในรูปแบบออนไซต์ รวม 4 ครั้งใน 4 จังหวัด ช่วงเดือน พฤศจิกายน–ธันวาคม 2568 โดยร้อยเอ็ดถือเป็นจังหวัดแรกของกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงบริการได้ใกล้ชิดและสะดวกยิ่งขึ้น

ภายในงานมีกิจกรรมครบวงจร “3 เติม” ได้แก่

เติมทุน: สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษ 3% คงที่ 3 ปี ผ่อนนาน 10 ปี วงเงินสูงสุด 15 ล้านบาท ยื่นกู้ได้ทันทีในงาน

เติมความรู้: อบรม Upskill–Reskill ด้านตลาดออนไลน์ การผลิตคอนเทนต์ เทคนิคไลฟ์ขายสินค้า และใช้แพลตฟอร์ม DX by SME D Bank

เติมโอกาส: มาตรการ “3 ลด ปลดหนี้” ลดค่างวด ลดเงินต้น และลดดอกเบี้ยค้างชำระ ฟื้นฟูกิจการอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังมีการมอบป้ายสินเชื่อให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ และบูธให้คำปรึกษาธุรกิจจากหน่วยงานพันธมิตร เช่น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) อุตสาหกรรมจังหวัด พาณิชย์จังหวัด และเครดิตบูโร รวมถึงโซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์จาก SMEs พื้นที่ร้อยเอ็ดและจังหวัดใกล้เคียง ผู้ประกอบการที่ต้องการรับการสนับสนุน สามารถติดต่อสาขา SME D Bank ทั่วประเทศ หรือผ่าน LINE OA: SME Development Bank เว็บไซต์ www.smebank.co.th และ Call Center 1357

ข่าวที่เกี่ยวข้อง