นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดโครงการพัฒนาศักยภาพ อสม. สู่สาธารณสุขยุคพัฒนา “อสม. เชื่อมต่อเทคโนโลยีสู่ชุมชน” ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี โดยมี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และ อสม. เข้าร่วม 10,000 คน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขของไทยได้ก้าวเข้าสู่ “ยุคพัฒนาที่แท้จริง” จากนโยบาย “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว และเท่าเทียม โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างหมอและประชาชนในทุกพื้นที่เป็นผู้ส่งต่อข้อมูล เป็นด่านหน้าที่เข้าถึงชุมชน และเป็นแรงสนับสนุนสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับโรคระบาดโควิด – 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
แต่ในขณะเดียวกัน สังคมไทยปัจจุบัน ยังได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบแล้วเช่นกัน จึงจำเป็นต้องมีระบบดูแลผู้สูงอายุ ผู้ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งต้องเน้นย้ำว่า “ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน” และไม่ควรมองผู้สูงอายุว่าเป็นภาระ แต่คนกลุ่มนี้คือ “ผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน” ที่เราต้องช่วยกันดูแล ให้ความสำคัญ เพราะยังเป็นกำลังที่มีคุณค่า สามารถร่วมสร้างสรรค์สังคมได้ หากได้รับการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม โดยบทบาทของ อสม. จะยิ่งทวีความสำคัญในการดูแลคนกลุ่มนี้ให้ปลอดภัย แข็งแรง และมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น
รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนา อสม. โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข สานต่อการยกระดับสู่การเป็นสมาร์ท อสม. ภายใต้นโยบาย “หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี” มุ่งใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือหลักในการบริการประชาชนให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และเท่าเทียม พร้อมทั้งเพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะด้านเพื่อให้เป็นผู้ช่วยสาธารณสุข และ care giver ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไต และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง ร่วมกับทีมสหวิชาชีพในชุมชน ต่อยอดสู่การเป็นผู้นำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพในชุมชน สื่อสารข้อมูลข่าวสารด้านสาธารณสุขให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ตลอดจนพัฒนาและฝึกอาชีพสร้างความมั่นคงด้วยการเป็นผู้ช่วยแพทย์แผนไทยและเน้นพัฒนาศักยภาพ อสม. ให้มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีด้านบริการสาธารณสุข ทั้งหมอพร้อม การนัดหมายออนไลน์ การแจ้งเตือนออนไลน์ รวมถึงส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ สามารถประเมินสุขภาพและความเสี่ยงสุขภาพรายบุคคลแบบอิเล็กทรอนิกส์ และมีทักษะในการคัดกรองประเมินสุขภาพของประชาชนเบื้องต้นในชุมชน
ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการยกระดับการทำงานของ อสม. ที่ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับหัวใจของความเสียสละในการสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งและยั่งยืน โดยรัฐบาลจะสนับสนุนและสร้างขวัญกำลังใจอย่างต่อเนื่อง เพราะ อสม. คือ “หัวใจของระบบสาธารณสุขไทย” อย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังหยิบยกความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขไทย ไปขยายผลให้เกิดความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจในระดับประเทศด้วย แนวคิด “Medical Tourism” ผ่านการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยต่างชาติเดินทางเข้ามารักษาในประเทศไทยด้วยมาตรฐานทางการแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล และระบบบริการที่ครบครัน ประกอบกับการที่เรามี อสม. เป็นผู้ที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ ในการดูแลประชาชนทั่วประเทศได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นจุดหมายด้านสุขภาพที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือของต่างชาติ เป็นการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
นายกรัฐมนตรี ขอบคุณ อสม. ทุกคนที่ทุ่มเท เสียสละ และทำงานด้วยหัวใจเพื่อประชาชน และขอย้ำว่ารัฐบาลจะเดินเคียงข้างทุกภาคส่วนเพื่อร่วมกันสร้างระบบสาธารณสุขของไทยให้เข้มแข็ง ทันสมัย และยั่งยืน เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับการดูแลที่ดีที่สุดต่อไปในทุกมิติของชีวิต
จากนั้น นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดอาคารผู้ป่วยนอก ทันตกรรม และพยาธิวิทยา (อาคารผู้ป่วยนอก หลังใหม่) ณ โรงพยาบาลพิจิตร อ.เมืองพิจิตร จ.พิจิตร พร้อมมอบเกียรติบัตรให้แก่ผู้บริจาคเงินสนับสนุนอาคารผู้ป่วยนอก (หลังใหม่) โรงพยาบาลพิจิตร จำนวน 3 ราย นายกรัฐมนตรี ได้พบปะมวลชน อสม. บริเวณห้องโถง จำนวนกว่า 1,200 คน และส่งมอบรถพยาบาลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิจิตร พร้อมร่วมปล่อยแถวรถพยาบาล จำนวน 14 คัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดของประเทศ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินงานสนองนโยบายอย่างเข้มแข็ง
โดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข ไปพร้อมกับการยกระดับโรงพยาบาลให้เป็น Smart Hospital ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการให้บริการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของ อสม. เพื่อเป็นกำลังหลักในชุมชนเชื่อมโยงงานบริการสาธารณสุขระหว่างโรงพยาบาลกับประชาชนอย่างใกล้ชิด เสมือนหมอประจำบ้าน
จากนั้น นายกรัฐมนตรี เดินทางต่อไปยังโครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ อำเภอเมืองพิจิตร
เพื่อเปิดกิจกรรมชาวจังหวัดพิจิตรรวมพลังแห่งความภักดี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ทุกคนมารวมพลังกันในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจของคนพิจิตรอย่างแท้จริง หัวใจที่เข้มแข็งอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความสมัครสมานสามัคคีเป็นภาพที่งดงามและเปี่ยมด้วยความหมาย แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งความจงรักภักดี ความกตัญญู และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของประชาชนชาวจังหวัดพิจิตรที่มีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
และได้ใช้โอกาสนี้ ร่วมพูดคุยกับประชาชนชาวพิจิตรถึงศักยภาพและจุดแข็งของจังหวัดพิจิตร ที่จะก่อให้เกิดโอกาสอย่างมากมาย พิจิตรเป็นเมืองเกษตรคุณภาพของประเทศไทย เกษตรกรพิจิตรเป็นคนขยัน อดทน มีฝีมือ และมีภูมิปัญญาที่น่าภาคภูมิใจสิ่งเหล่านี้คือทุนอันล้ำค่าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัด พิจิตรคือเมืองแห่งสายน้ำ และระบบนิเวศอันอุดมสมบูรณ์ “บึงสีไฟคือหัวใจของจังหวัดพิจิตร” ซึ่งไม่เพียงเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แต่ยังเป็นศูนย์รวมของวิถีชีวิต วัฒนธรรมอันสวยงามของชาวพิจิตรทุกคน นอกจากนี้ พิจิตรคือเมืองของผู้คนที่มีหัวใจงดงาม ความมีน้ำใจ มีรอยยิ้ม มีมิตรไมตรีแก่คนต่างถิ่นที่เข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งคือจุดแข็งที่หาไม่ได้ง่าย ๆ และเป็นเหตุผลให้จังหวัดพิจิตรเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ เป็นศูนย์กลางการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าการเกษตร การท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องยกระดับให้ผู้คนทั้งหลาย ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้รู้จักจังหวัดพิจิตร จังหวัดพิจิตรมีทุกอย่างที่สวยงาม การศึกษา การสาธารณสุข และการสร้างโอกาส เพื่อให้พิจิตรไม่ใช่เพียง “เมืองที่เข้มแข็ง”แต่ยังเป็น “เมืองที่เติบโต…แบบยั่งยืน”
นายกรัฐมนตรี ได้มีโอกาสทักทายพ่อค้าแม่ค้าที่มาตั้งร้านภายในบริเวณนั้น พร้อมพูดคุยถึงโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ซึ่งกำลังเป็นกระแสและได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ประกอบการ โดยพ่อค้าแม่ค้าต่างกล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ผลักดันโครงการนี้ช่วยให้บรรยากาศการค้าขายกลับมามีชีวิตชีวา เศรษฐกิจฐานรากขยับตัวอย่างชัดเจน และประชาชนออกมาใช้จ่ายกันอย่างคึกคักอีกครั้ง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลเตรียมเดินหน้า “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” โดยจะขยายความครอบคลุมไปยังกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ใช้โทรศัพท์รุ่นเก่า เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงสิทธิ์ได้เท่าเทียม พร้อมย้ำว่าจะเข้มงวดป้องกันการทุจริตสวมสิทธิ์ หากพบการกระทำผิดจะดำเนินการตรวจสอบอย่างเด็ดขาด เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่ออย่างโปร่งใสและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศ
ด้าน นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดกิจกรรม Kick Off ฟอกไตฟรี เข้าถึงได้ทุกที่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน เขตสุขภาพที่ 9 พร้อมประกาศเดินหน้านโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” ณ โรงพยาบาลปราสาท อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เพื่อให้ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายเข้าถึงบริการบำบัดทดแทนไตอย่างทั่วถึงและได้มาตรฐาน ลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวและโรงพยาบาล พร้อมระบุว่า ประเทศไทยต้องสร้างภูมิความรู้เรื่องการป้องกันโรคไต โดยมี อสม. เป็นผู้ให้ความรู้แก่ชาวบ้าน
นายแพทย์วิทิต สฤษฎีชัยกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 9 ได้รายงานว่า โรคไตเรื้อรังยังเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญ ส่วนใหญ่เกิดจากโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากพัฒนาสู่ไตวายระยะสุดท้าย ต้องได้รับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 230,000 บาทต่อคนต่อปี
ในปี 2568 เขตสุขภาพที่ 9 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ มีผู้ป่วยโรคไตรวม 103,382 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยที่ฟอกเลือดทั้งหมด 4,774 ราย เข้าบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแล้ว 3,979 ราย รอคอยฟอกเลือดใกล้บ้าน 782 คน และเป็นผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย 5,786 ราย ซึ่งได้รับการรักษาด้วยการฟอกไตและล้างไตทางหน้าท้องแล้วอย่างครอบคลุม ปัจจุบันมีหน่วยบริการฟอกไตเทียม 64 แห่ง และสถานบริการล้างไตทางหน้าท้อง 72 แห่ง ครอบคลุมทุกอำเภอในพื้นที่








