“ธรรมนัส” ประกาศดีเดย์ปักป้ายยึดคืนที่ดิน ส.ป.ก. 28 จังหวัด พื้นที่กว่า 70,000 ไร่ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบ ก่อนจัดสรรใหม่ให้เกษตรกรทำกิน

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงาน Kick Off ขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ครอบครองในเขตปฏิรูปที่ดินที่ไม่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและมอบโฉนดเพื่อการเกษตร โดยมีนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ แปลงที่ดินโครงการราชบุรีโมเดล หมู่ที่ 10 ตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี พร้อมทั้งถ่ายทอดสดผ่านระบบ Zoom เพื่อเปิดโครงการฯ และพบปะเกษตรกรอีก 27 จังหวัด ซึ่งสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ได้ดำเนินการตรวจสอบการถือครองที่ดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างเข้มงวด และนำมาจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร

จากการตรวจสอบของ ส.ป.ก. ราชบุรี พบพื้นที่ในตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง มีผู้ครอบครองที่ดิน โดยมิชอบจำนวน 165 ราย 166 แปลง รวมกว่า 6,500 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ในโครงการป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี เดิมเป็นป่าสงวนแห่งชาติ ก่อนส่งมอบให้ ส.ป.ก. เพื่อจัดสรรให้เกษตรกร แต่กลับถูกบุกรุกถือครองเป็นเวลานาน ซึ่งขณะนี้ ส.ป.ก. ได้เพิกถอนสิทธิผู้ถือครองผิดกฎหมายแล้ว และเปิดให้ประชาชนผู้ยากไร้ยื่นขอจัดสรรที่ดินใหม่ มีผู้ยื่นคำขอกว่า 3,300 ราย ซึ่งเกินกว่าพื้นที่รองรับได้ คาดว่าระยะแรกจะจัดสรรให้เกษตรกรได้จำนวน 152 ราย รวมพื้นที่ 1,520 ไร่ โดยเกษตรกรจะเช่าที่ดินในอัตราไร่ละ 100 บาทต่อปี

ดังนั้น ต่อไปนี้การตรวจสอบการถือครองที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายจะเดินหน้าอย่างเอาจริงเอาจังและเพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น เพื่อยึดคืนพื้นที่กลับเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดิน และนำมาปรับสภาพพื้นที่ก่อนดำเนินการจัดสรรต่อให้กับเกษตรกรตามขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติ จึงถือเป็นการดีเดย์การปักป้ายประกาศการยึดคืนที่ดินในจังหวัดราชบุรี และจังหวัดอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น 28 จังหวัด พื้นที่กว่า 70,000 ไร่ โดยได้มอบนโยบายให้ทุกภาคส่วนร่วมบูรณาการพัฒนาพื้นที่และเสริมศักยภาพเกษตรกรอย่างครอบคลุมทุกมิติ

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้กรมพัฒนาที่ดินและกรมชลประทาน วางแผนพัฒนาระบบน้ำ โครงสร้างพื้นฐาน และปรับปรุงพื้นที่ทำกินใหม่ ในอำเภอจอมบึง โดยใช้งบประมาณปี 2569 ประมาณ 140 ล้านบาท ให้กับเกษตรกร โดยการฟื้นฟูอาชีพการเลี้ยงปลายี่สก การส่งเสริมการเลี้ยงแพะ และการปลูกพืชอาหารสัตว์ หรือพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ ซึ่งจะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและการปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ ตามเป้าหมายเกษตรกรมีที่ดินทำกิน มีแหล่งน้ำ มีอาชีพมั่นคง และมีที่อยู่อาศัยถาวร โดยพื้นที่ทั้งหมดที่ยึดมาได้แล้ว จะจัดสรรเป็นพื้นที่ที่สร้างชุมชนให้กับชาวตำบลรางบัว อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี โดยกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีองค์กรมหาชนอย่างสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) มีหน้าที่ในการสร้างบ้านเพื่อคนไทย จะจัดโซนสำหรับสร้างที่อยู่อาศัย และโซนเพื่อทำมาหากิน ซึ่งสํารวจเบื้องต้นในจังหวัดประมาณ 150 หลังคาเรือน พร้อมส่งเสริมการพัฒนาสร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างเหมาะสม นอกจากจัดสรรที่ดินทำกินให้แล้ว จะจัดทำในรูปแบบจอมบึงโมเดล พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณูปโภค ตลอดจนการส่งเสริมอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม

สำหรับปัญหาราคามะพร้าวตกต่ำ ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรสำคัญของจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง จะมีการเดินหน้าติดตามสถานการณ์โดยการตั้งคณะทำงานตรวจสอบเส้นทางราคามะพร้าว และวางแผนการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากตลาดจีนยังต้องการผลผลิตจำนวนมาก แต่ราคาในประเทศตกต่ำ ไม่สอดคล้องกัน ฉะนั้นจะดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังเช่นเดียวกับปัญหาราคาทุเรียนและลำไยที่ได้แก้ไขสำเร็จไปแล้ว

ด้านนายเศรษฐเกียรติ กระจ่างวงษ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ระบุด้วยว่า ส.ป.ก. เร่งขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ครอบครองในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่ไม่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้กับราษฎรกลุ่มเปราะบางด้านที่ดิน มุ่งเน้นให้ประชาชนมีที่ดินทำกินอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ป้องกันการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิ์ในที่ดิน โดย ร.อ.ธรรมนัส ได้มอบนโยบายให้กับ ส.ป.ก. ตรวจสอบการถือครองที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มิชอบด้วยกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อยึดคืนพื้นที่จากนายทุนและเร่งรัดจัดการปัญหาที่ดิน ทำกินให้กับเกษตรกร ในเขตปฏิรูปที่ดินหรือ ส.ป.ก. 4-01 ให้เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เป้าหมายจำนวนประมาณ 17 ล้านไร่ เพื่อสร้างมูลค่าในที่ดิน เพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งทุนให้แก่เกษตรกร ซึ่งการจัดกิจกรรมปักป้ายปิดประกาศแจ้งดำเนินการพร้อมกันใน 28 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกําแพงเพชร เชียงราย เพชรบูรณ์์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บึงกาฬ สุรินทร์ หนองคาย อุดรธานี อุบลราชธานี กาญจนบุรี จันทบุรี ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง ลพบุรี สระแก้ว สระบุรี ราชบุรี กระบี่ ชุมพร ตรัง สงขลา และสุราษฎร์ธานี เพื่อประกาศเจตนารมณ์สร้างความรับรู้แก่สาธารณชนทั่วประเทศ และเพื่อให้ผู้ถือครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ยังไม่เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปได้นำที่ดินมาปฏิรูปตามเจตนารมณ์ และแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินที่มิชอบด้วยกฎหมายอย่างจริงจัง ปรับปรุงสิทธิ์ในที่ดินของรัฐ พร้อมประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้กับสังคมในการปฏิบัติการทวงคืนที่ดินกลับมาสู่การปฏิรูปที่ดินให้แก่เกษตรกร

จากนั้น ร้อยเอก ธรรมนัส และคณะเดินทางต่อไปยังสำนักงานเทศบาลตำบลด่านทับตะโก และที่ว่าการอำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี เพื่อพบปะพี่น้องเกษตรกรและมอบโฉนดเพื่อการเกษตร รวมถึงปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรรวมจำนวนกว่า 800 ราย

ขณะที่ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเปิด “โครงการ พม.ใกล้คุณ บูรณาการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย” เพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคมในพื้นที่ โดยบูรณาการความร่วมมือในการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานทีม พม. ใกล้คุณจังหวัดภูเก็ต และภาคีเครือข่ายท้องถิ่น โดยมีการมอบเงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน เงินสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน และถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น

นายอัครา กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้ขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบาย “พม. ใกล้คุณ” โดยมี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ด้วยการดูแลช่วยเหลือ และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกช่วงวัย คนพิการและครอบครัวซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางทางสังคมที่เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ นโยบาย “พม. ใกล้คุณ” มีแนวทางสำคัญ 4 ประการ ประกอบด้วย 1) ลดรายจ่ายให้ครัวเรือนเปราะบาง ช่วยบรรเทาภาระชีวิตในยามยาก 2) สร้างรายได้ สร้างโอกาสการทำงานใกล้บ้าน ส่งเสริมอาชีพในพื้นที่ 3) จัดการภาระหนี้แบบมุ่งเป้า (พม. Restart) และ 4) พัฒนาคนทำงานเพื่อสังคม ให้มีทักษะการช่วยเหลือผู้อื่น

โดยต้องการให้ของขวัญปีใหม่คือ การแก้ไขหลักเกณฑ์ประเมินความพิการ ซึ่งคนพิการหลายคนยังเข้าไม่ถึงสิทธิ์สวัสดิการของรัฐ เนื่องจากที่ผ่านมามีหลักเกณฑ์การประเมินความพิการที่ยึดหลักเกณฑ์ ทางการแพทย์มากเกินไป จึงได้ปรับหลักเกณฑ์ประเมินเป็นทางด้านสังคม เพื่อให้กลุ่มคนพิการที่เสียสิทธิ์ ทั้งการประกอบอาชีพ การสมัครงานที่ถูกระบุว่าเป็นคนพิการ แต่ยังไม่ได้รับบัตรประจำตัวคนพิการ เพื่อรับสิทธิ์สวัสดิการของรัฐ ดังนั้น จึงต้องปรับแก้หลักเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนพิการกลุ่มดังกล่าว ทำให้สามารถเข้าถึงสิทธิ์สวัสดิการของรัฐมากยิ่งขึ้น อีกทั้งจะผลักดันการปรับเบี้ยความพิการ จาก 800 บาทให้เป็น 1,000 บาท ถ้วนหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นกำลังใจให้คนพิการสามารถอยู่ในสังคมได้ เชื่อว่าการปรับแก้หลักเกณฑ์ในครั้งนี้ จะทำให้คนพิการสามารถมีบัตรประจำตัวคนพิการ ทำให้ได้รับสิทธิ์สวัสดิการต่างๆ เป็นการส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางสังคม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง