นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานมอบนโยบายรัฐบาลและภารกิจสำคัญของกระทรวงมหาดไทย ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้านานาชาติไคซ์ ขอนแก่น อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าส่วนราชการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่นกว่า 1,000 คน ร่วมรับฟัง
นายอนุทิน กล่าวว่า มีความตั้งใจจะมาพบปะกับเพื่อนข้าราชการและผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น ถือเป็นการทำความรู้จักคุ้นเคยกัน โดยมีผู้บริหารกระทรวงมหาดไทยและผู้เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลมาร่วม และแม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีเวลาไม่นานนัก เพราะเราเข้ามาเพื่อทำให้การเมืองมีความเป็นปกติสุขและคืนอำนาจให้กับประชาชน แต่การทำงานเพื่อประชาชนจะหยุดนิ่งไม่ได้ ถอยหลังไม่ได้ หรือจะไม่ทำอะไรเลยเพื่อรอเลือกตั้งอย่างเดียวก็ไม่ได้ จึงต้องเดินนโยบายต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนควบคู่ไปด้วยอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ด้วยการใช้ทุกองคาพยพทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน จึงมีนโยบาย Quick Big Win คำว่า Quick รวดเร็ว Big ครอบคลุม Win เกิดประโยชน์กับประชาชนให้มากที่สุด เช่น นโยบาย “โครงการคนละครึ่ง พลัส” ซึ่งทำให้การหมุนเวียนของเงินเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นอย่างเห็นได้ชัด และที่สำคัญคือประชาชนล้วนแล้วแต่มีความพึงพอใจ ทำให้สามารถจับจ่ายใช้สอย เพียงออกเงินครึ่งเดียวและอีกครึ่งหนึ่งทางรัฐช่วยสนับสนุนทำให้คนซื้อก็ซื้อของได้มากขึ้น คนขายก็ขายของได้มากขึ้น “วิน วิน”
นอกจากนี้ยังได้มอบ 6 นโยบายสำคัญ ได้แก่
1. “การจัดระเบียบสังคมและปราบปรามผู้มีอิทธิพล” เพื่อทำให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย โดยย้ำว่าความสุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ต้องไม่มีส่วนร่วม ไม่สนับสนุน ไม่สร้างความอยุติธรรมให้กับประชาชนที่ถูกรังแก เพราะคนเหล่านี้คือส่วนเกินของสังคมไทย เป็นส่วนที่สังคมไทยไม่ต้องการ และเป็นส่วนที่ทำให้สภาพบ้านเมืองของเราไม่สามารถขับเคลื่อนไปได้ เป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศ ต้องไม่เกรงใจคนเหล่านี้ เราต้องให้ความสำคัญในการปราบปราม โดยมุ่งปราบปรามคนเหล่านี้ให้หมดไป ทั้งนายอำเภอ ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องนำตัวคนเหล่านี้ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยหากเป็นข้าราชการการเมืองหรือข้าราชการประจำก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งวินัยและอาญา
2. “การแก้ไขปัญหายาเสพติด” ที่ผ่านมาเน้นการจับกุม แต่การฟื้นฟูยังทำได้ไม่ทั่วถึง ทำให้ผู้เสพกลับมาใช้ยาเสพติดซ้ำ รัฐบาลจึงดำเนินนโยบาย “ลดผู้เสพ เพิ่มผู้รักษา ปราบปรามผู้ค้า และทำลายแหล่งผลิตอย่างจริงจัง” พร้อมทั้งกล่าวชื่นชมศูนย์พักคอยผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติด (Community Isolation : CI) อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ที่ดำเนินการอย่างครบวงจร พร้อมฝากให้ขยายผลส่งเสริมการฟื้นฟูถึงระดับชุมชน โดยให้จัดตั้ง “ศูนย์ฟื้นฟูระดับชุมชน” พร้อมทั้งเร่งค้นหาผู้ติดยาเสพติดในทุกหมู่บ้านเพื่อให้เขาได้รับการฟื้นฟูบำบัดรักษา ซึ่งการดำเนินการฟื้นฟูระดับชุมชนจะทำให้เกิดการติดตาม (Follow Up) เพื่อป้องกันไม่ให้เขาไปใช้ยาเสพติดซ้ำ โดยใช้สมาชิกในชุมชนช่วยดูแลให้กำลังใจผู้ประสบปัญหาควบคู่กับการปราบปรามผู้ค้าอย่างเด็ดขาด ต้องเริ่มจากสแกนอำเภอ สแกนตำบล สแกนหมู่บ้าน และเมื่อสามารถลดการค้ายาเสพติดในระดับชุมชนได้สำเร็จ จะส่งผลทำให้ภาพรวมระดับประเทศลดลง
ขณะเดียวกัน การบูรณาการร่วมของตำรวจ ฝ่ายปกครอง ทหาร และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ตอนนี้เราสามารถจับกุมผู้ค้าได้มากขึ้น ทำให้ผู้ลักลอบค้ายาเสพติดต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ ปรับเปลี่ยนวิธีการในการขนถ่ายขนย้าย เปลี่ยนช่องทาง เปลี่ยนภูมิภาคในการขนย้าย ซึ่งก็ไม่เป็นอุปสรรคและไม่สามารถเล็ดลอดสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐไปได้ ล่าสุดได้อนุมัติรถเอ็กซเรย์ยาเสพติดเป็นรถโมบายเอ็กซเรย์ยาเสพติด จำนวน 4 คันให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อใช้ในการสแกนการขนถ่ายลำเลียงยาเสพติด ซึ่งคาดว่าจะสามารถป้องกันการค้ายาเสพติด กระบวนการค้ายาเสพติดได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมฝากทุกภาคส่วนช่วยกันสอดส่องในหมู่บ้านและชุมชน ไม่ให้มีการนำยาเสพติดเข้ามาค้า เข้ามาขาย และการดำเนินคดีต้องเด็ดขาด “1 เม็ดก็ผิด”
3. “การสร้างอาชีพสร้างรายได้เพิ่มให้กับประชาชน” เพราะรายได้ของประชาชนคือหัวใจของการพัฒนาชีวิตของพวกเขา ดังนั้น ต้องช่วยกันสนับสนุนการรวมกลุ่มอาชีพเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้มีมาตรฐานและให้มีตลาดที่เขาสามารถขายสินค้าเพื่อสร้างรายได้ โดยให้ทุกจังหวัดช่วยกันทำ “แผนงานสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ที่สามารถวัดผลได้จริง” ด้วยการเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาล คือ การสนับสนุนสินค้าไทย อาทิ OTOP ที่มีกรมการพัฒนาชุมชนรับผิดชอบ ต้องพัฒนาองค์ความรู้ผู้ประกอบการควบคู่เพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าทั้งระดับจังหวัด ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ ทำงานอย่างมีแผน มีหลักวิชาการ มีหลักการตลาด ให้มีมูลค่าเพิ่ม “สินค้า OTOP คนต้องซื้อที่คุณภาพ ไม่ใช่ซื้อด้วยความสงสาร หรือซื้อเหมาเข่ง”
4. “การส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน” เพื่อเป็นช่องทางให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในพื้นที่ สร้างรายได้ กระจายรายได้ในพื้นที่โดยตรง โดยเน้นจุดแข็งทางด้านวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และธรรมชาติ ซึ่งในแต่ละจังหวัดในแต่ละพื้นที่ก็จะมีจุดแข็งที่เราสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว ทำให้มีเงินทุนหมุนเวียนในประเทศไม่แพ้คนต่างชาติมาเที่ยวในประเทศไทย พร้อมชื่นชมขอนแก่นเป็นเมืองที่มาท่องเที่ยวได้ มาทำการค้าได้ เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางความเจริญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเมืองที่ทันสมัย มีต้นทุนทั้งด้านศาสนา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม พืชผลทางการเกษตร และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางแห่งการสร้างเศรษฐกิจในภาคตะวันออกเฉียงเหนือควบคู่ไปกับจังหวัดใกล้เคียง และเป็นชุมทางของรถไฟความเร็วสูงและรถไฟรางคู่ เชื่อมไปยังจังหวัดอุดรธานีที่เป็นจังหวัดขนาดใหญ่ รวมถึงจังหวัดหนองคาย ซึ่งขณะนี้รัฐบาลไทยได้ทำความตกลงกับรัฐบาล สปป.ลาว ในการใช้วิธีการตรวจสินค้าพิธีการศุลกากรที่รวดเร็วที่สุด และเชื่อมเส้นทางการคมนาคมขนส่งเพื่อทำให้เราสามารถส่งสินค้าไปทางประเทศจีนตอนใต้ต่อไปได้ ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ที่เพิ่มมากขึ้น
5. ปัจจัยสาธารณูปโภคต้องมีให้พร้อม “น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน” ได้กำชับให้การประปาส่วนภูมิภาคเร่งขับเคลื่อน “น้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน” ซึ่งฟังดูอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่ถ้าเราบริโภคคนละ 2 ลิตรต่อวัน หรือคิดเป็นวันละ 3 ขวด แล้วมีสมาชิกในครอบครัวหลายคน จะเป็นภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนสูงมาก ถ้าเรามีน้ำดื่มสะอาดฟรีให้กับประชาชนได้ก็จะทำให้ต้นทุนการซื้อน้ำดื่มของประชาชนลดลงไปได้มาก รวมถึงเรื่องน้ำประปาหมู่บ้าน น้ำบาดาล ที่ต้องทำให้สามารถบริการประชาชน เรียกว่า “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี ต้องเกิดขึ้นกับทุกชุมชน” ทั้งในโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก ตลาด ศูนย์กลางชุมชน และต้องไม่ใช่แค่ตั้งเครื่องกรองก็จบ แต่จะต้องมีการตรวจสอบมาตรฐานและบำรุงรักษาระบบประปาชุมชนให้มีคุณภาพสูงอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สุขภาพของประชาชนมีมาตรฐานที่สูง
6. “โครงการคนละครึ่ง พลัส” ที่ทำให้ประชาชน 1. มีความสุข 2. มีความสนุกในการจับจ่ายใช้สอยด้วยความเต็มใจ และ 3. ส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้ประชาชนได้ออกมาจับจ่ายใช้สอย เจ้าหน้าที่ต้องดูแลให้พวกเขาได้ใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่และครบถ้วน ช่วยกันให้ความสะดวกในการลงทะเบียนทั้งประชาชนและร้านค้า โดยจะต้องจัดทีมไปเยี่ยมเยียนประชาชนในหมู่บ้าน โดยรัฐบาลได้เพิ่มการส่งเสริมการUpskill ให้กับผู้ประกอบการให้ได้รับการเสริมศักยภาพ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า อาทิ การขายออนไลน์ การเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ และเมื่อผ่านการพัฒนาศักยภาพหรือ Upskill แล้ว ก็จะได้รับประกาศนียบัตรจากรัฐ เพื่อที่จะใช้เป็นหลักฐานในการขอรับการสนับสนุนหรือกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อเพิ่มทุน
เพิ่มศักยภาพการผลิตและจำหน่ายสินค้าต่อไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะทำให้ทุกคนมีความตื่นตัว
นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องของไฟฟ้าชุมชน ซึ่งมีแผนจะนำร่องแหล่งผลิตไฟฟ้าชุมชนละ 5-10 เมกะวัตต์ ที่สอดคล้องกับกติกาใหม่ของโลก คือ “พลังงานสีเขียว” หรือ พลังงานที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ หรือง่ายที่สุดเรียกว่า พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเมื่อผลิตไฟฟ้าของหมู่บ้าน/ชุมชนได้ ก็จะจ่ายไฟไปใช้ภายในหมู่บ้านชุมชน และหากมีพลังงานไฟฟ้าเหลือจากการประหยัดไฟก็สามารถขายคืนให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อที่จะให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซื้อและจ่ายเงินนั้นกลับเข้ามาสู่ชุมชนให้มีกองทุนในการพัฒนาชุมชน ช่วยกันสร้างสังคมที่แข็งแกร่ง รัฐช่วยดูแลสวัสดิภาพและสวัสดิการมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดูแลกันและกัน เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศต่อได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ความรักความสามัคคี ความรักและหวงแหนความเป็นไทย รักชาติ รักแผ่นดินของคนไทยอย่างเข้มแข็งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สะท้อนผ่านสถานการณ์ความไม่สงบพื้นที่ชายแดน
ไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา ดังนั้นในขณะนี้เมื่อบ้านเมืองเกิดสถานการณ์ภัยธรรมชาติ พวกเราทุกคนไม่ทิ้งกัน เพราะเป้าหมายของพวกเราทุกคนคือการทำให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดี และเมื่อประชาชนมีความสุข มีโอกาสในการสร้างรายได้ มีสุขภาพที่ดี นั่นคือ สิ่งที่เขาตอบแทนให้เราแล้ว และทุกคนต้องมองว่าพวกเราคือส่วนหนึ่ง
ในการพัฒนาประเทศ ต้องไม่มองว่าเป็นภาระของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ใดในประเทศ ตนเองจะเป็นคนแรกที่จะลงไปร่วมช่วยเหลือชาวบ้านร่วมกับทุกคน ขอให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ให้ประชาชนได้รับสิ่งที่ดีที่สุดมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน
ขณะที่ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดโครงการยกระดับคุณภาพข้าวหอมมะลิไทยและการตลาดที่ยั่งยืน โครงการ “ข้าวอินทรีย์ อีสานล้านไร่” และ โครงการ “วัน วัน วัน รับซื้อข้าวเพื่อชาวนา ราคาเป็นธรรม” ณ สหกรณ์การเกษตร วัน วัน วัน จำกัด ตำบลนาบัว อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อยกระดับคุณภาพข้าวไทยให้มีคุณภาพ ส่งเสริมการทำการเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะมีความปลอดภัยทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค รวมถึงผลักดันข้าวหอมมะลิไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีเสถียรภาพ เพื่อให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีความยั่งยืนในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยกรมการข้าว มุ่งขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการผลิตข้าวตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ให้ได้มาตรฐาน การบริหารจัดการแปลงนาอย่างมีประสิทธิภาพ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต รวมถึงการส่งเสริมการแปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และการพัฒนาระบบตลาดให้มีเสถียรภาพ เพื่อให้ข้าวหอมมะลิของไทยมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเป้าหมายสำคัญคือจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรซึ่งเปรียบเป็นกระดูกสันหลังของชาติให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน
จังหวัดสุรินทร์เป็น 1 ใน 5 จังหวัดของ “ทุ่งกุลาร้องไห้” ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิคุณภาพดีระดับประเทศ และเป็นสินค้า GI ที่สร้างชื่อเสียงให้จังหวัด นอกจากนี้ จังหวัดสุรินทร์ยังมีความเข้มแข็งด้านการรวมกลุ่มของเกษตรกร เช่น เกษตรแปลงใหญ่ ศูนย์ข้าวชุมชน วิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์การเกษตร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสร้างตลาดให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งสหกรณ์การเกษตร วัน วัน วัน จำกัด ที่ได้มาตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ เป็นสหกรณ์ที่รับซื้อข้าวในราคาที่เป็นธรรม และสามารถส่งออกข้าวหอมมะลิไปยังสหภาพยุโรป โดยใช้แนวทางตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ทั้งนี้ได้เน้นย้ำถึงการพัฒนาคุณภาพข้าวให้มีคุณภาพ โดยไม่จำเป็นต้องปลูกในปริมาณที่มาก แต่ต้องปลูกให้ได้มาตรฐานและปลอดภัย
กับผู้บริโภค ทั้งยังเป็นความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ด้านนายอานนท์ นนทรีย์ อธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวมุ่งหวังเดินหน้าโครงการสำคัญ 3 โครงการที่มีเป้าหมายร่วมกันคือยกระดับคุณภาพข้าวไทย เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และสร้างความยั่งยืนให้กับชาวนาไทย ได้แก่
1. โครงการ ยกระดับคุณภาพข้าวของมะลิไทย และการตลาดที่ยั่งยืน
2. โครงการ ข้าวอินทรีย์ อีสานล้านไร่
3. โครงการ วัน วัน วัน รับซื้อข้าวเพื่อชาวนา ราคาเป็นธรรม
โดยทั้ง 3 โครงการไม่ใช่เป็นเพียงงานส่งเสริม แต่เป็นการวางรากฐานใหม่ของระบบการผลิตไทยอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต การแปรรูป ก้าวไปสู่อนาคตที่มีมาตรฐานที่สูงขึ้น มีตลาดรองรับที่ชัดเจน ทั้งในและต่างประเทศ สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเกษตรกร








