นายกฯ ลงพื้นที่หาดใหญ่ จ.สงขลา ให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัย แจกจ่ายอาหาร ถุงยังชีพ ย้ำเร่งรัดอนุมัติเงินเยียวยาช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 9,000 บาท

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย น.ส.ธนนนท์ นิรามิษ ประธานคณะกรรมการคู่สมรสคณะรัฐมนตรีและที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย นำคณะลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจผู้ประสบอุทกภัยที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ อาทิ ศูนย์พักพิงชั่วคราวโรงเรียนเทศบาล 4 (วัดคลองเรียน) ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์เทศบาลนครหาดใหญ่ และศูนย์พักพิงอื่นๆ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจประชาชน พร้อมเยี่ยมผู้ป่วยภาวะพึ่งพิงในศูนย์พักพิงฯ และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโรงครัวพระราชทาน พร้อมทำเมนูข้าวผัดกับประชาชนจิตอาสา และทำเมนูไข่เจียวที่โรงครัวพระราชทาน แจกจ่ายอาหารปรุงสำเร็จ และถุงยังชีพให้กับประชาชน โดยตลอดเส้นทางการลงพื้นที่ได้แวะมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนและให้กำลังใจประชาชนตลอดเส้นทาง

นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการลงพื้นที่ในครั้งนี้ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้กำลังใจประชาชน หลังจากที่ได้ลงพื้นที่มาดูสถานการณ์แล้วพบว่ายังมีบางประเด็นที่น่าเป็นห่วง จึงตัดสินใจกลับมาติดตามสถานการณ์อีกครั้ง ทั้งนี้ หลายครอบครัวจำเป็นต้องออกจากบ้านมาอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงที่ถือเป็น “พื้นที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน” โดยครั้งนี้ได้เห็นการปรับปรุงรูปแบบของการให้ความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งด้านที่พัก อาหาร และการดูแลสุขภาพประชาชน คาดว่าภายในอีกประมาณ 3–4 วันนี้ ระดับน้ำจะค่อย ๆ ลดลง พร้อมทั้งให้ความมั่นใจว่า ประชาชนทุกคนมีอาหารรับประทานอย่างเพียงพอ และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลด้านสาธารณสุขอย่างใกล้ชิดภายในศูนย์พักพิง และขอเชิญชวนประชาชนช่วยกันยืนยันและแจ้งข่าวแจ้งข้อมูลว่า “ศูนย์พักพิงมีความปลอดภัย” โดยทางภาครัฐได้จัดตั้งพื้นที่พักพิงรวมกว่า 5 แห่ง เพื่อรองรับประชาชนได้อย่างทั่วถึง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะเร่งพิจารณาอนุมัติเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ 9,000 บาท เพื่อช่วยลดภาระและจะไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน และในนามของรัฐบาลต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำถึงความปลอดภัยของสถานที่ที่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ และหากสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว จะมีการประเมินให้ประชาชนกลับเข้าที่พักอาศัยอีกครั้ง

โดยได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รวมถึงทุกจังหวัดได้บูรณาการทุกกลไกดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด แม้เราไม่อาจเอาชนะภัยธรรมชาติได้ แต่สามารถเอาใจใส่และร่วมมือกันเพื่อผ่านสถานการณ์นี้ไปให้ได้         พร้อมกำชับให้ทุกส่วนราชการลงพื้นที่ดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด เร่งสำรวจความเสียหายเพื่อเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยโดยเร็ว และขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือ และขอให้อยู่ในพื้นที่ศูนย์พักพิงฯ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ทั้งนี้สมาชิกกองอาสารักษาดินแดน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน จะดูแลทรัพย์สินของประชาชนอย่างเต็มที่ ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล

ส่วนการระดมกำลังให้ความช่วยเหลือ นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่าได้สั่งการด่วนให้หน่วยปฏิบัติของ ปภ.ที่ดูแลพื้นที่ภาคใต้อยู่ในขณะนี้ เร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย โดยกำชับเจ้าหน้าที่ให้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อแจ้งเตือนภัยได้ทันเวลา เน้นย้ำการช่วยเหลืออพยพประชาชนโดยเร็ว ระดมสรรพกำลังเครื่องจักรกลสาธารณภัยของศูนย์ ปภ. เขตต่าง ๆ ประสานและเร่งดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาตามระเบียบหลักเกณฑ์ฯ โดยเร็วที่สุด ซึ่งมีข้อสั่งการเร่งด่วน 7 ประเด็น ประกอบด้วย

1. จัดเจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังปริมาณฝน ระดับน้ำ และสภาพอากาศ ในพื้นที่อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง และให้พื้นที่ที่พบข้อมูลความเสี่ยงประสานข้อมูลกับหน่วยงานส่วนกลางอย่างเรียลไทม์เพื่อวางแผนการแจ้งเตือนประชาชนให้รวดเร็ว ตรงจุด

2. แจ้งเตือนภัยผ่านระบบ Cell Broadcast อย่างรวดเร็ว ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ให้ประชาชนรับทราบล่วงหน้าเพื่อเพิ่มความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน และสามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง ลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น

3. เร่งอพยพและช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยจัดรถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย เรือพร้อมเสื้อชูชีพ และรถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว สำหรับช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะจุดที่ยากแก่การเข้าถึง และอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในกรณีที่ต้องได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยติดเตียง

4. ประสานการสนับสนุนศูนย์พักพิงชั่วคราว โดยจัดเตรียมรถประกอบอาหารเคลื่อนที่ และรถผลิตน้ำดื่ม ผลิตอาหาร น้ำดื่ม บริการประชาชน และอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้ผู้ประสบภัยที่อาศัยภายในศูนย์พักพิงชั่วคราว

5. บริหารจัดการทรัพยากรเครื่องจักรกลสาธารณภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระจายเครื่องจักรกลสาธารณภัย
ไปประจำพื้นที่เสี่ยง และสนับสนุนเครื่องจักรกลสาธารณภัยให้กับจังหวัดที่ประสบภัยตามความจำเป็นที่ร้องขอเพื่อให้การช่วยเหลือรวดเร็วที่สุด

6. สื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบสถานการณ์อย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ของหน่วยงาน ทั้งสื่อออนไลน์ และเครือข่ายในพื้นที่ และแจ้งช่องทางการแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง

7. ประสานจังหวัดเร่งดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และมติคณะรัฐมนตรีในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยช่วงฤดูฝน ปี 2568 ให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว คล่องตัว และโปร่งใส

นายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งให้ทุกหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่ทันทีเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วนที่สุด โดยสั่งให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 8 (สทน.8) และสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 10 (สทน.10)
ลงพื้นที่ตั้งเครื่องสูบน้ำ รถน้ำ และระดมทีมเจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่เสี่ยงทันที สำหรับจังหวัดสงขลาได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำแล้ว 11 เครื่อง เดินเครื่องตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมเร่งแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดกว่า 30,000 ขวด ในพื้นที่ อำเภอเมือง สะบ้าย้อย รัตภูมิ ควนเนียง สะทิงพระ ระโนด และ กระแสสินธุ์ ช่วยเหลือประชาชนที่ขาดแคลนน้ำใช้ รวมทั้งติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมรวม 10 เครื่องในจังหวัดยะลา พัทลุง ปัตตานี และนครศรีธรรมราช เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่ยังคงเพิ่มขึ้นจากฝนที่ตกหนักต่อเนื่อง ขณะที่ในพื้นที่จังหวัดชุมพร พังงา และสุราษฎร์ธานี กรมทรัพยากรน้ำ ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ 8 เครื่อง เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบทันทีเช่นกัน พร้อมยืนยันทุกหน่วยพร้อมปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง และจะเดินหน้าภารกิจสูบ–ระบาย–ช่วยเหลือ อย่างเต็มกำลัง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด

ขณะที่กองทัพระดมกำลังพลช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างเต็มกำลัง โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก เดินหน้าขยายการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 จึงได้ยกระดับการช่วยเหลือ พร้อมสั่งการให้ทุกหน่วยลงพื้นที่เร่งด่วน โดยนำกำลังพล พร้อมเครื่องมือบรรเทาสาธารณภัย เข้าช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ดังนี้

จังหวัดสงขลา

– หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 5 จัดกำลังพล พร้อมด้วยยานพาหนะ ช่วยส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉิน ในพื้นที่อำเภอเมือง จำนวน 7 ราย ไปยังโรงพยาบาลสงขลา และช่วยอพยพประชาชนที่ติดค้างไปยังพื้นที่ปลอดภัย

– กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 153 จัดกำลังพลลงพื้นที่แจกจ่ายสิ่งอุปโภคบริโภคให้แก่ประชาชน
ที่ได้รับผลกระทบในอำเภอทุ่งยางแดง

– กองพันเสนารักษ์ กรมสนับสนุน กองพลทหารราบที่ 15 ได้จัดตั้งหน่วยพยาบาล ให้บริการรักษาและส่งกลับผู้ป่วย ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวในอำเภอเทพา

– กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 5 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 จัดกำลังพลชุดบรรเทาสาธารณภัย พร้อมด้วยชุดแพทย์เคลื่อนที่ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย โดยเฉพาะการคัดกรองและตรวจรักษาโรคเบื้องต้นในพื้นที่อำเภอระโนด และได้นำส่งผู้ป่วยติดเตียงออกจากพื้นที่ประสบภัยไปยังโรงพยาบาลระโนด นอกจากนั้นในอำเภอสทิงพระ ได้จัดกำลังพลช่วยขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้แก่ประชาชนอีกด้วย

– มณฑลทหารบกที่ 42 จัดกำลังพลลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ ทั้งการแจกจ่ายสิ่งของอุปโภคบริโภค การอพยพผู้สูงอายุ และการช่วยขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง ให้แก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่

– กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 5 จัดกำลังพลพร้อมยานพาหนะช่วยอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย และอำนวยความสะดวกในการสัญจร เนื่องจากเส้นทางถนนสายรัตภูมิ – สตูล ในพื้นที่อำเภอรัตภูมิมีดินสไลด์กีดขวางการจราจร

จังหวัดนราธิวาส  สถานการณ์น้ำที่ท่วมสูงเพิ่มมากขึ้นในอำเภอบาเจาะ ทำให้รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้ กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 151 ได้จัดกำลังพลลงพื้นที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจราจร นอกจากนั้นในพื้นที่อำเภอเมืองนราธิวาส ได้จัดกำลังพล พร้อมยานพาหนะ ช่วยอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และเด็ก ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว

จังหวัดนครศรีธรรมราช

– กองพันทหารสารวัตรที่ 41 จัดกำลังพลลงพื้นที่อำเภอหัวไทร เร่งทำแนวกั้นคลื่น เพื่อป้องกันความเสียหายจากน้ำทะเลหนุนสูง จนเกิดคลื่นซัดชายฝั่งทำให้บ้านเรือนประชาชนเสียหาย

– กองพันทหารม้าที่ 16 กองพลทหารราบที่ 5 จัดกำลังพลลงพื้นที่แจกถุงยังชีพ พร้อมน้ำดื่มให้แก่ประชาชน
ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมสอบถามความช่วยเหลือเพิ่มเติมในพื้นที่อำเภอนาบอน

– กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 105 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 จัดกำลังพล พร้อมเรือท้องแบนลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อำเภอร่อนพิบูลย์

จังหวัดปัตตานี

– กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 153 จัดกำลังพล พร้อมยานพาหนะ ช่วยอพยพเด็กจากพื้นที่ที่มีน้ำท่วมสูงมายังศูนย์พักพิงโรงเรียนบ้านกะลาพอ ในอำเภอสายบุรี

– กรมทหารพรานที่ 44 จัดกำลังพลลงพื้นที่มอบสิ่งของอุปโภคบริโภค พร้อมติดตามความช่วยเหลือเพิ่มเติมในพื้นที่อำเภอทุ่งยางแดง

ทั้งนี้หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือจากกองทัพบก สามารถประสานได้ที่ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 โทรศัพท์ 074-383-405 ตลอด 24 ชั่วโมง

ด้าน ศูนย์การบินทหารบก จัดกำลังจิตอาสาสนับสนุนการลำเลียงถุงยังชีพ กว่า 1,000 ชุด ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ให้แก่กรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อนำส่งไปยังอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และแจกจ่ายช่วยเหลือให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเป็นภารกิจเร่งด่วนในการช่วยเหลือประชาชน
ผู้ประสบเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้

ส่วน ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 ออกช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลาซึ่งมีพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนหลายพื้นที่ ทัพเรือภาคที่ 2 จึงจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์ออกช่วยเหลือในอำเภอต่าง ๆ ที่ประสบภัย ได้แก่ ที่อำเภอเมือง หาดใหญ่ จะนะ และระโนด ทั้งนี้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยทัพเรือภาคที่ 2 พร้อมออกช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

นอกจากนี้มณฑลทหารบกที่ 42 ได้จัดตั้ง “โรงครัวพระราชทาน” ที่จังหวัดสงขลา เพื่อประกอบอาหารพร้อมรับประทาน แจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบความเดือดร้อน โดยโรงครัวพระราชทานจะผลิตอาหาร วันละ 3 มื้อ มื้อละ 500 กล่อง รวม 1,500 กล่อง เมนูที่จัดเตรียมเป็นอาหารสดใหม่และทานง่าย เช่น ข้าวเครื่องแกงไก่ ข้าวไก่ทอด ข้าวผัดพริกไก่ และข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว การปรุงอาหารคำนึงถึงความสะอาด ความปลอดภัย และคุณค่าทางโภชนาการเป็นสำคัญ พร้อมจัดส่งอาหารไปยังพื้นที่ที่การสัญจรยังเป็นไปด้วยความยากลำบากหรือ
ถูกตัดขาดบางส่วน

ด้านนายราเชน ศิลปะรายะ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร สั่งการให้เครื่องบินของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จำนวน 4 ลำ พร้อมเจ้าหน้าที่กรมฝนหลวงฯ ลำเลียงถุงยังชีพ กว่า 1,000 ชุดไปยังอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อแจกจ่ายช่วยเหลือให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ จำนวน 2 เที่ยวบิน เที่ยวบินละ 2 ลำ โดยกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ยังได้ตั้งหน่วยประสานอำนวยความสะดวกที่บริเวณ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อใช้เป็นศูนย์ในการประสานความช่วยเหลือไปยังผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนบุคลากรจากกองพันทหารม้าที่ 29 รักษาพระองค์ กองพันบินที่ 21 ศูนย์การบินทหารบก และหน่วยทหารที่มาช่วยในนามจิตอาสากว่า 30 คน มาช่วยลำเลียงสิ่งของและถุงยังชีพอีกด้วย

อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ยังส่งผลให้หน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ นพ.อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 12 กล่าวว่า ขณะนี้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องส่งผลกระทบใน 6 จังหวัด ได้แก่ สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี และยะลา โดยสถานการณ์รายจังหวัดพบว่า ที่จังหวัดสงขลา หน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 11 แห่ง เป็นโรงพยาบาล 3 แห่ง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) /สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) 8 แห่ง ปิดบริการ 5 แห่ง ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) พร้อมทั้งจัดระบบเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง ส่งทีม MERT เคลื่อนที่เร็วเข้าพื้นที่อำเภอจะนะ หาดใหญ่ และรัตภูมิ วางระบบส่งต่อผู้ป่วยจาก รพ.สต.ที่ปิดบริการไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ และโรงพยาบาลรัตภูมิ รวมถึงเร่งฟื้นฟูระบบบริการในพื้นที่น้ำท่วมขัง เช่น ไฟฟ้า–น้ำประปาในหน่วยบริการ ติดตามดูแลกลุ่มเปราะบางแล้ว 2,328 ราย

จังหวัดสตูล มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย และเสียชีวิต 1 ราย จากเหตุดินถล่ม หน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 2 แห่ง คือ รพ.สต.ฉลุง และ รพ.สต.เขาขาว ต้องปิดบริการทั้ง 2 แห่ง เบื้องต้นระดมทีมด้านการแพทย์ จังหวัดสตูล เข้าตรวจสอบพื้นที่ดินถล่ม จัดระบบบริการชั่วคราว (Mobile clinic) ในชุมชนที่ รพ.สต.ปิดบริการ พร้อมทั้งติดตามดูแลกลุ่มเสี่ยง 64 ราย เฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยเรื้อรังและโรคหลังน้ำลด เช่น ผิวหนัง ตาแดง

จังหวัดตรัง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย จากไฟฟ้าดูด ไม่มีหน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ ขณะนี้มีการจัดรถพยาบาล–กู้ชีพเฝ้าระวังในพื้นที่น้ำท่วมฉับพลัน พร้อมกำชับ รพ.สต. และ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ติดตามผู้ป่วยโรคเรื้อรังในพื้นที่น้ำท่วม ประสานการซ่อมแซมระบบไฟฟ้าในพื้นที่ผิดปกติเนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจากไฟฟ้าดูด

จังหวัดพัทลุง มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย และเสียชีวิต 1 ราย จากการจมน้ำ หน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 9 แห่ง แต่เปิดให้บริการได้ตามปกติ มีการจัดทีม Rapid Response และ MERT ออกให้บริการด้านการแพทย์ในพื้นที่เขาชัยสนและปากพะยูน พร้อมจัดระบบส่งต่อผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและโรคเรื้อรังในพื้นที่น้ำท่วมยาวนาน ติดตามดูแลกลุ่มเปราะบางแล้ว 1,004 ราย พร้อมประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ช่วยระบายน้ำรอบ รพ.สต.หลายแห่งที่เสี่ยงน้ำย้อนท่อ

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมยังคงน่าเป็นห่วง หลังฝนตกสะสม และน้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัด ไหลลงสู่พื้นที่ต่ำ พื้นที่รองรับน้ำ ส่งผลให้หลายอำเภอริมทะเลสาบสงขลามีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในอำเภอควนขนุน เมืองฯ เขาชัยสน บางแก้ว และปากพะยูน ระดับน้ำท่วมสูง บางจุดประชาชนต้องใช้เรือในการเข้า–ออกหมู่บ้าน โดยเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย เร่งเข้าช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ทั้งการส่งอาหาร น้ำดื่ม และอพยพผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยติดเตียง ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ขณะที่อำเภอในพื้นที่ติดกับเทือกเขาบรรทัด ระดับน้ำเริ่มลดลงบ้างแล้ว สำหรับการจราจรเส้นทางสายหลัก ที่เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดพัทลุง ไปยังจังหวัดสงขลา ตรัง และ นครศรีธรรมราช สามารถสัญจรได้ตามปกติ

จังหวัดปัตตานี มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย เสียชีวิต 2 ราย จากการจมน้ำ หน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ 6 แห่ง เป็นโรงพยาบาล 4 แห่ง คือ โรงพยาบาลสายบุรี โรงพยาบาลปะนาเระ โรงพยาบาลยะหริ่ง และ โรงพยาบาลทุ่งยางแดง ที่ได้รับผลกระทบสำคัญคือ ห้องฟอกไต โรงพยาบาลสายบุรี น้ำเข้าระบบ ทำให้ต้องส่งต่อผู้ป่วยไปโรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร และโรงพยาบาลปัตตานี มีการตั้งศูนย์พักพิง 11 แห่ง ดูแลแล้ว 193 คน เบื้องต้นได้ระดมทีมแพทย์และพยาบาลคัดกรองในศูนย์พักพิงทุกแห่ง จัดระบบส่งต่อผู้ป่วยไตวายจากโรงพยาบาลสายบุรี พร้อมทำงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมเป็นพิเศษ และเฝ้าระวังการระบาดของโรคในกลุ่มเด็กเล็กในชุมชนทุ่งยางแดง–ยะรัง

จังหวัดยะลา ยังไม่มีหน่วยบริการสาธารณสุขได้รับผลกระทบ แต่ได้เปิดระบบเฝ้าระวังโรคหลังน้ำหลาก เนื่องจากพื้นที่เป็นเขาสูง พร้อมติดตามประชาชนในพื้นที่เสี่ยงดินสไลด์ และตรวจเยี่ยมครอบครัวกลุ่มเปราะบางร่วมกับ อสม.

คณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำเขื่อนบางลาง ได้พิจารณาหยุดการระบายน้ำของเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 – 25 พฤศจิกายน 2568 เนื่องจากเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ท้ายเขื่อน ส่งผลให้เกิดอุทกภัยเป็นวงกว้าง ดังนั้น เขื่อนบางลางยะลา จึงได้พิจารณาหยุดการระบายน้ำทุกช่องทางเพื่อบรรเทาสถานการณ์ และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชน ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการฯ จะติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันและลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อประชาชนในพื้นที่ท้ายเขื่อนต่อไป ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.ยะลา เริ่มขยายวงกว้าง จากฝนที่ตกต่อเนื่อง โดยที่ตลาดนัดมะพร้าว ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายเสื้อผ้ามือ 2 แห่งใหญ่ของจังหวัดยะลา น้ำได้ไหลเข้าท่วมบ้านเรือนและร้านค้าสูงกว่า 80 เซนติเมตร ประชาชนเร่งอพยพ ขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง ขณะที่ชุดสันติสุขที่ 303 ชุดควบคุมที่ 953 หน่วยเฉพาะกิจสันติสุข ร่วมกับ อส.เมืองยะลา นำเรือท้องแบนออกให้ความช่วยเหลือประชาชนในเขตตลาดมะพร้าว โดยให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงและกลุ่มเปราะบางไปยังที่ปลอดภัย ซึ่งจะอำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง ด้านเทศบาลนครยะลา ออกประกาศเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ทุกพื้นที่ลุ่มที่เคยประสบภัยในเขตเทศบาลนครยะลา ขนย้ายสิ่งของขึ้นไว้บนที่สูง และให้ระมัดระวังปลั๊กไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตและทรัพย์สิน และดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยสามารถอพยพไปยังศูนย์พักพิงของเทศบาลนครยะลาได้ทันที รวมถึงเฝ้าระวังติดตามข่าวสารจากเทศบาลนครยะลาอย่างต่อเนื่อง หากต้องการความช่วยเหลือสามารถแจ้งได้ที่งานป้องกันและบรรเทาสาธาธารณภัยเทศบาลนครยะลา หมายเลขโทรศัพท์ 0-7321-2345 และ 199 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ขณะที่สายการบินอีซี่แอร์ไลน์ แจ้งงดให้บริการ เส้นทางบิน หาดใหญ่ – เบตง – หาดใหญ่ เป็นการชั่วคราว ในระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 – 5 มกราคม 2569 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน มีลมแรง และฝนตกหนักถึงหนักมากในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อทัศนวิสัย และการขึ้น-ลงของอากาศยาน

จังหวัดนราธิวาส กรมทรัพยากรน้ำ แจ้งเตือนภัยระดับวิกฤติ (สีแดง) ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส หลังปริมาณฝนสะสมสูงต่อเนื่อง เสี่ยงเกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มฉับพลัน โดยระบุพื้นที่ “เตือนภัยวิกฤติ (สีแดง)” ต้องเฝ้าระวังสูงสุด 2 จุด ประกอบด้วย จุดที่ 1 อำเภอรือเสาะ พื้นที่บ้านไอร์กลูแป ตำบลโคกสะตอ จุดที่ 2 อำเภอศรีสาคร พื้นที่บ้านตามุง ตำบลเชิงคีรี ​ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาและทางน้ำไหลผ่าน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำหลากและดินถล่มอย่างใกล้ชิด หากสังเกตเห็นความผิดปกติของสีน้ำหรือระดับน้ำ ให้ปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุและคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ทันที ส่วนท่าอากาศยานนราธิวาส กรมท่าอากาศยาน ได้ออกประกาศงดให้บริการลานจอดรถยนต์เป็นการชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ นอกจากนี้ ในส่วนของเส้นทางเข้า-ออกท่าอากาศยานฯ พบว่ามีน้ำท่วมขังผิวจราจร ส่งผลให้สามารถเปิดช่องทางจราจรให้รถสัญจรได้เพียงหนึ่งช่องทางเท่านั้น จึงขอให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษ ทั้งนี้เที่ยวบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เส้นทางดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ยังคงให้บริการทำการบินขึ้น-ลงได้ตามตารางบินปกติ

จังหวัดสตูล นายคณิต คงช่วย รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า สถานการณ์อุทกภัยได้ขยายวงกว้างทั้ง 7 อำเภอ ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกว่า 4,000 ครัวเรือน มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย จากเหตุการณ์ดินถล่มทับบ้าน โดยขณะนี้ยังมีฝนตกในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการทุกหน่วยเร่งช่วยผู้ประสบภัย ทั้งอพยพพื้นที่เสี่ยง ยกของขึ้นที่สูง ระดมกำลังฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ อปท. กู้ภัย พร้อมสนับสนุนเรือ รถกู้ภัย เครื่องจักร และมอบน้ำดื่ม ชุดยังชีพ กระสอบทราย อาหารสัตว์ ให้ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน สาธารณสุขเปิดศูนย์ EOC เฝ้าระวังโรคและเตรียมทีมแพทย์ลงพื้นที่ ส่วนหน่วยงานเกษตรสนับสนุนอาหารสัตว์และช่วยลดผลกระทบต่อพื้นที่เกษตร

นอกจากนี้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ แจ้งเตือนอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณภาคใต้ตอนล่าง ยังคงทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ของภาคใต้ตอนล่าง ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำและคลองสาขา มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำท่วมขังในเขตชุมชนเมืองเนื่องจากฝนตกหนัก ในช่วงวันที่ 24 – 25 พฤศจิกายน 2568 บริเวณ จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง กระบี่ ตรัง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง