นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (คอภ.) ครั้งที่ 2/2568 นายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนการประชุมฯ ว่า ได้ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง และลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ พร้อมทั้งสั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งบูรณาการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะ ในขณะนี้ในพื้นที่ภาคใต้เกิดฝนตกหนักมากทำให้อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ เสียหายค่อนข้างมาก รวมถึงจังหวัดพัทลุง ปัตตานี นครศรีธรรมราช โดยนายกรัฐมนตรีได้ติดตามและลงพื้นที่ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานระดมความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ทั้งเครื่องอุปโภค บริโภค และอุปกรณ์ในการดำรงชีวิต พร้อมให้หน่วยงานสนับสนุนเครื่องมือ เครื่องจักรกลสาธารณภัย เช่น เรือ รถ GMC รถยกสูง และเตรียมเครื่องสูบน้ำจากทุกภาคทั่วประเทศเข้าช่วยเหลือในพื้นที่โดยเน้นย้ำให้ดูแลช่วยเหลือประชาชนให้มีความปลอดภัยเป็นลำดับแรก
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งสำรวจความเสียหายของผู้ประสบภัยให้ครอบคลุมทุกหลังคาเรือน รวมถึงทรัพย์สินที่ได้รับผลกระทบ เพื่อจัดทำข้อมูลอย่างชัดเจนและแม่นยำสำหรับการเข้าระบบการช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งการจ่ายเงินเยียวยาต้องดำเนินการอย่างไม่ล่าช้า พร้อมมอบหมายให้สำนักงบประมาณเร่งจัดเตรียมงบกลางเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีเร่งด่วน โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างเร่งด่วน นายกรัฐมนตรี ยังมีข้อสั่งการในการช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ดังนี้
1. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน เฝ้าระวังติดตามแนวโน้มสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ตลอด 24 ชั่วโมง แจ้งเตือนประชาชนผ่านระบบ Cell Broadcast ให้ทราบและเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดใช้กลไกท้องถิ่นและท้องที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ ในทุกช่องทาง และครอบคลุมทุกพื้นที่
2. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ประสบอุทกภัย ใช้กลไกศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด ในการบริหารจัดการ บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เป็นไปอย่างมีเอกภาพ ให้ความสำคัญกับการแจกจ่ายอาหารปรุงสำเร็จที่รับประทานได้ทันที น้ำดื่ม รวมถึงสิ่งของจำเป็นให้กับประชาชนในพื้นที่ใช้ดำรงชีพ ได้อย่างทั่วถึง สำหรับพื้นที่ที่น้ำท่วมสูง อาจเกิดอันตรายกับประชาชน ให้จัดตั้งศูนย์อพยพให้ประชาชนได้พักพิงชั่วคราว พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ดูแลความเป็นอยู่ให้ครอบคลุมทุกด้าน และมีทีมปฏิบัติการตระเวนช่วยเหลือ พาประชาชนมายังศูนย์อพยพได้อย่างปลอดภัย
3. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หน่วยทหาร สนับสนุนจังหวัด ที่ประสบอุทกภัย วางแผนเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ ทำการพร่องน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการไหลของน้ำ ลดปริมาณน้ำที่ท่วมขัง สนับสนุน เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ ตลอดจนเครื่องจักรกลสาธารณภัยที่เกี่ยวข้อง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้มีน้อยที่สุด
4. ให้กระทรวงคมนาคม กำชับหน่วยงานในพื้นที่ ดูแลเส้นทางคมนาคม ทั้งถนน และทางรถไฟ จัดให้มีเส้นทางสำรอง เส้นทางเลี่ยง ในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก ติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนำเส้นทางเลี่ยงที่ปลอดภัย และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ
5. ให้กระทรวงสาธารณสุข กำชับหน่วยงานในพื้นที่ ในการจัดทีมแพทย์และสาธารณสุข ดูแลสุขภาพกายและจิตใจประชาชน สนับสนุนเวชภัณฑ์ยาต่าง ๆ ให้เพียงพอ รวมถึงเฝ้าระวังโรคที่มากับน้ำท่วมขัง
6. การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ร่วมกับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งสำรวจและจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือเยียวยาครอบคลุม ครบถ้วนทุกกรณี
7. การฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย ให้ทุกหน่วยงานเร่งสำรวจความเสียหายทุกด้าน พร้อมทั้งเร่งซ่อมแซม และฟื้นฟูความเสียหายต่าง ๆ ทั้งด้านบ้านเรือนที่พักอาศัย ระบบสาธารณูปโภค ระบบไฟฟ้า ประปา ระบบการสื่อสาร เส้นทางคมนาคม เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว
โดยนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นำทีมงานลงพื้นที่จังหวัดสงขลา จัดตั้งกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ส่วนหน้า ขึ้น ณ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 12 สงขลา ระดมทีม ปภ.ส่วนกลางร่วมสนับสนุนการทำงานในพื้นที่ เพื่อประสานการปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเกิดความคล่องตัว ครอบคลุม ทั่วถึง และทันต่อเหตุการณ์ โดยปัจจุบัน ปภ.ได้ระดมทั้งทีมปฏิบัติการ ปภ. และเครื่องจักรกลสาธารณภัยจากทุกศูนย์ ปภ.เขต ทั่วประเทศ ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ รวมกว่า 500 หน่วย ทั้งเครื่องสูบน้ำระยะไกล เครื่องสูบส่งน้ำ รถปฏิบัติการเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัย รถผลิตน้ำดื่ม รถประกอบอาหารพร้อมอุปกรณ์ รถบรรทุกน้ำ รถกู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว เรือชนิดต่าง ๆ รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย KA-32 จำนวน 1 ลำ พร้อมทีมนักบินและเจ้าหน้าที่กู้ภัยบนอากาศยาน “The Guardian Team” ลงพื้นที่เข้าช่วยเหลือประชาชนจังหวัดภาคใต้อย่างเต็มกำลัง
ขณะที่นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้ประกาศเขตภัยพิบัติแล้วทั้ง 16 อำเภอ และ
สั่งอพยพประชาชนในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ เข้าสู่จุดอพยพที่ทางราชการจัดเตรียมไว้ ได้แก่ ศูนย์ประชุมนานาชาติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และทัพเรือภาคที่ 2 จังหวัดสงขลา โดยกำชับให้เร่งเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่เสี่ยงอย่างรวดเร็วที่สุด เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมมีความรุนแรงและคาดว่าจะทวีความหนักมากขึ้น พร้อมทั้งระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนลงพื้นที่สนับสนุนการอพยพ โดยเฉพาะกำลังพลจากหน่วยทหาร รวมถึงการประสานทีมงานจิตอาสานำเรือท้องแบนเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพื้นที่ที่ถูกตัดขาด เพื่อเร่งเคลื่อนย้ายประชาชนทุกกลุ่มให้ถึงพื้นที่ปลอดภัยโดยเร็วที่สุด
ส่วนความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสงขลา (ทสจ.สงขลา) เป็นศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่จังหวัดสงขลา บูรณาการความร่วมมือและทรัพยากรในการให้ความช่วยเหลือประชาชน พร้อมสั่งการย้ำให้ ทสจ. ทุกจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ เตรียมพร้อมหากเกิดสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงฉับพลัน ให้ ทสจ. แต่ละจังหวัด เป็นศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย นอกจากนี้ยังเร่งติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อเร่งการระบายน้ำออกจากพื้นที่ แจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดให้ประชาชน นำเรือยางขนาดเล็กและกำลังพลเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้างในพื้นที่น้ำท่วมขัง จัดพื้นที่จอดรถเเละเป็นที่พักพิงชั่วคราวให้กับประชาชน พร้อมทั้ง นำเฮลิคอปเตอร์ของ ทส. ประจำการที่ อ.หาดใหญ่ และประสานกับฝ่ายทหารและฝ่ายปกครอง เพื่อบินสำรวจสถานการณ์ รวมทั้งส่งเสบียงทางอากาศให้ประชาชนที่ติดค้างในบ้านเรือน
นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า
ได้มอบหมายให้หน่วยงานทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดที่ประสบอุทกภัย เร่งลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ทีมพม.ใกล้คุณ จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ได้บูรณาการความร่วมมือกับจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ โดยเฉพาะ ปภ.จังหวัด ให้การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ทั้งในรูปแบบการเคลื่อนย้ายอพยพ การจัดถุงยังชีพเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และการเตรียมตั้งโรงครัวพระราชทานร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงการเปิดพื้นที่ของหน่วยงานทีม พม.ใกล้คุณ จังหวัดต่างๆ เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว หากประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน สามารถติดต่อได้ที่ “พม.ใกล้คุณ” ผ่านสายด่วน พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง
นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม มอบหมายให้สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ตั้ง “ศูนย์บัญชาการและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ (War Room)” เพื่อเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยตลอด 24 ชั่วโมง โดยใช้ระบบคลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ เทคโนโลยีโทรมาตรอัตโนมัติ และภาพดาวเทียมวิเคราะห์ปริมาณฝน คาดการณ์พื้นที่เสี่ยง และชี้เป้าจุดวิกฤตในเขตเมืองหาดใหญ่ให้แม่นยำที่สุด ก่อนส่งข้อมูลให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดสงขลา หน่วยงานท้องถิ่น และเครือข่าย อว.ส่วนหน้า เพื่อประกอบการอพยพ การระบายน้ำ และการช่วยเหลือภาคพื้นดินอย่างมีเอกภาพ พร้อมทั้งให้เครือข่ายมหาวิทยาลัยในภาคใต้ และสถาบันวิจัยในพื้นที่ ที่มีความพร้อมจัดทีมผู้เชี่ยวชาญ–อาสาสมัคร–นักศึกษา เตรียมพร้อมเป็นหน่วยสนับสนุนภาคสนาม รวมทั้งเปิดพื้นที่ภายในมหาวิทยาลัยเป็น “ศูนย์พักพิงชั่วคราว” หรือศูนย์ประสานงานช่วยเหลือประชาชน หากจังหวัดร้องขอ นำโดรนสำรวจและลำเลียงสิ่งของ เครื่องสูบน้ำพลังงานต่ำ เรือให้บริการสัญญาณ WiFi บ้านพักสำเร็จรูป เครื่องกรองน้ำไส้กรองนาโนแบบเคลื่อนที่ ชุดยานพาหนะอเนกประสงค์ รวมถึงถุงยังชีพที่บรรจุอาหารนวัตกรรมพร้อมทานโดยไม่ต้องอุ่น ยา และของใช้จำเป็นสำหรับครอบครัวผู้ประสบภัย
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สั่งการให้พลังงานจังหวัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ระดมความช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้ ในเบื้องต้น ได้จัดเตรียมถุงยังชีพรวมกว่า 22,000 ชุด โดยได้เร่งทยอยส่งไปแล้ว 5,300 ชุดและน้ำดื่มกว่า 1 หมื่นขวดให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และยะลา อีกทั้งส่งหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่พร้อมเรือท้องแบน รถตรวจการณ์ ร่วมสนับสนุนทีมปฏิบัติการของภาครัฐ และสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในพื้นที่ประสบภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง คลัง และ สถานีส่งไฟฟ้าแรงสูง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือไฟฟ้าลัดวงจรที่อาจเป็นอันตรายต่อประชาชนและทำให้ระบบจ่ายพลังงานหยุดชะงัก โดยให้มีแผนสำรองในการจ่ายไฟฟ้าและเตรียมจัดหาน้ำมันในพื้นที่น้ำท่วมรวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียงให้มีน้ำมันใช้ ไม่ให้ขาดแคลน
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้ระดมกำลังทุกวิทยาลัยอาชีวศึกษาลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเร่งด่วนในพื้นที่ โดยได้สั่งการให้วิทยาลัยอาชีวศึกษาในจังหวัดสงขลา 5 แห่ง เปิดโรงครัวประกอบอาหารแห่งละ 500 กล่อง รวมกว่า 2,500 กล่องต่อวัน ส่งกระจายให้ประชาชนตามพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบในอำเภอหาดใหญ่ รัตภูมิ นาทวี และพะโค๊ะ พร้อมประสานวิทยาลัยจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีก 3 วิทยาลัย เข้าตั้งโรงครัวเสริมในพื้นที่ศูนย์พักพิงที่จังหวัดจัด ตั้งขึ้น เพื่อรองรับผู้ประสบภัยที่อพยพออกมาจากพื้นที่น้ำท่วมลึก ส่วนวิทยาลัยเทคโนโลยีพานิชนาวี จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้จัดส่งเรือท้องแบนจำนวน 3 ลำ มาช่วยภารกิจเคลื่อนย้ายและลำเลียงสิ่งของในจังหวัดสงขลา เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงผู้ประสบภัยในจุดที่รถไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ทุกจังหวัดติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พร้อมช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที ให้ทุกจังหวัดเร่งรัดการเยี่ยมบ้านและคัดกรองกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้พิการ ผู้ฟอกไต และผู้สูงอายุ แจกจ่ายยาชุดช่วยเหลือน้ำท่วม ยารักษาโรคเรื้อรัง และอุปกรณ์ป้องกันโรคติดต่อให้ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยอย่างทั่วถึง ให้โรงพยาบาลและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่ได้รับผลกระทบตั้งจุดบริการชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้บริการต่อเนื่อง และทบทวนระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินสำรอง อีกทั้งให้เฝ้าระวังโรคที่มากับน้ำ อาหาร น้ำดื่ม สุขาภิบาลในพื้นที่พักพิง และเข้มงวดการควบคุมป้องกันโรคอุจจาระร่วง น้ำกัดเท้า โรคทางเดินหายใจ และโรคจากสัตว์มีพิษ และให้สำรวจความเสียหายต่อบุคลากร สถานบริการ และอุปกรณ์ พร้อมวิเคราะห์ความเสี่ยงต่อการให้บริการในระยะ 72 ชั่วโมงข้างหน้า
พลโท นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมนายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ประชุมศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้าค่ายเสนาณรงค์ หารือแนวทางเร่งช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์อุทกภัย ซึ่งภาพรวมยังวิกฤต แต่คาดสถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งเเต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป ในที่ประชุม นายแพทย์ปพน ดีไชยเศรษฐ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา ร้องขอให้เร่งนำเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าเข้าไปต่อกระแสไฟฟ้าให้โรงพยาบาลหาดใหญ่ สามารถใช้ไฟฟ้าได้เนื่องจากโรงพยาบาลฯ มีผู้ป่วยวิกฤตที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจถึง 130 ราย ขณะศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้าค่ายเสนาณรงค์ ได้เปิดสายโทรศัพท์ จำนวน 5 หมายเลข คือ 075-232145-8, 098-223-3364, 061-586-5574, 074-586685, 098-223-3364 เพื่อรับเรื่องพิจารณาส่งต่อความช่วยเหลือ ทางศูนย์ฯ ได้จัดเจ้าหน้าที่ทหารคอยรับสายตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนกองทัพเรือได้ระดมเรือยางท้องเเข็ง เรือยางติดเครื่อง มาเพิ่มอีกจำนวน 3 ลำ พร้อมชุดมนุษย์กบ และกำลังพลอีก 34 ราย พร้อมลงปฏิบัติภารกิจทันทีเมื่อเดินทางมาถึง และจะใช้เฮลิคอปเตอร์บินสำรวจรอบเมืองหาดใหญ่ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 เพื่อวางแผนการช่วยเหลือต่อไป
และอีกช่องทางขอความช่วยเหลือผ่าน Line Traffy fondue แจ้งขอความช่วยเหลือน้ำท่วม โดยแอดไลน์ @traffyfondue แล้วพิมพ์รายละเอียดขอความช่วยเหลือพร้อมพิกัด ทางด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สทนช. คาดการณ์ว่าวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ช่วงเวลาประมาณ 00.00 – 01.00 น. ที่สถานี X.90 อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา ระดับน้ำจะเพิ่มสูงกว่าระดับตลิ่งประมาณ 2.26 – 2.46 เมตร หรือสูงกว่าระดับน้ำปัจจุบัน 0.30 – 0.50 เมตร และในช่วงเวลาประมาณ 06.00 – 07.00 น. ที่สถานี X.44 อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระดับน้ำจะเพิ่มสูงกว่าระดับตลิ่ง 2.00 – 2.20 เมตร หรือสูงกว่าระดับน้ำปัจจุบัน 1.25 – 1.45 เมตร ทั้งนี้ระดับน้ำในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภาในปี 2568 สูงกว่าปี 2553 ซึ่งเป็นปีที่เคยเกิดน้ำท่วมสูงสุด จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่ติดตามข้อมูลการอพยพจาก
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมกันนี้ สทนช. จะร่วมกับทุกหน่วยงานบริหารจัดการน้ำอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาความรุนแรงของสถานการณ์ให้ได้มากที่สุด








