นายกฯ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จ.สงขลา ระดมทุกหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครม.อนุมัติเงินเยียวยาเพิ่ม 7 จังหวัด

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติกรอบวงเงิน พื้นที่ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือ และระยะเวลาการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2568 เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ โดยอนุมัติจากกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพิ่มเติมอีกจำนวนเงิน 3,818,880,000 บาท และอนุมัติพื้นที่ดำเนินการ และระยะเวลาการช่วยเหลือเพิ่มเติมในพื้นที่ 7 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และสงขลา จากเดิมที่อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินกรณีอุทกภัย ในพื้นที่ 65 จังหวัด โดยการจ่ายเงินเยียวยาเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดิมคือให้ความช่วยเหลือในอัตราครัวเรือนละ 9,000 บาท กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย กรณีที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วันขึ้นไป กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ถูกน้ำล้อมรอบ จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป และกรณีที่อยู่อาศัยประจำในอาคารสูงที่น้ำท่วมไม่ถึงชั้นที่ผู้ประสบภัยพักอาศัยจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ติดต่อกันเกินกว่า 7 วันขึ้นไป

และให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม กรณีที่อยู่อาศัยประจำที่ประสบอุทกภัยถูกน้ำท่วมขังติดต่อกัน ในอัตราดังต่อไปนี้

1. ตั้งแต่ 31 – 60 วันให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท

2. ตั้งแต่ 61 – 90 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 10,000 บาท

3. ตั้งแต่ 91 – 120 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 15,000 บาท

4. ตั้งแต่ 121 วันขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 20,000 บาท

โดยให้จังหวัดที่ประสบภัยดังกล่าว เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ทั้งนี้ ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ยังคงน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะที่จังหวัดสงขลา จึงได้ลงนามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดสงขลา ตามอำนาจแห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และแต่งตั้งให้ พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว ทั้งนี้ต้องบริหารการระบายน้ำให้เร็วที่สุด หากไม่มีฝนมาเติม น่าจะระบายได้เร็วขึ้น ที่สำคัญที่สุดขณะนี้คือการเร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ก่อนเป็นอันดับแรก เหล่าทัพและหน่วยงานต่างๆ เตรียมพร้อม ทั้งในส่วนของอาหารและของดำรงชีพ รวมทั้งยานพาหนะในการระดมความช่วยเหลือ ซึ่งการช่วยเหลือโดยเฉพาะการระดมกำลัง รถ เรือ เพื่อเข้าให้ถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในขณะนี้ เพราะยังมีหลายพื้นที่ที่ความช่วยเหลือยังเข้าไม่ถึง ไม่มีไฟฟ้า อาหาร พร้อมกำชับให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และกองทัพเร่งให้การช่วยเหลือ รวมถึงกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ และเด็ก นอกจากนี้การเยียวยาทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ โดยในส่วนของประชาชน ขอให้ ปภ. เตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เรียบร้อย เพื่อเบิกจ่ายเงินเยียวยาให้กับประชาชนได้เร็วที่สุด ในส่วนผู้ประกอบการและภาคธุรกิจ มอบให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เตรียมมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดภาระผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาน้ำท่วมจังหวัดภาคใต้ โดยพลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เชิญพระราชกระแสความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมายังรัฐบาล ให้รัฐบาลได้น้อมรับและดำเนินการ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานต่อไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความห่วงใยต่อประชาชนในภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย พระราชทานความช่วยเหลือกับผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนและให้ระดมสรรพกําลังทั้งหมด ทั้งฝ่ายพลเรือน ทหาร ตำรวจ หน่วยราชการต่างๆ โดยเฉพาะเรือเข้าไปช่วยเหลือราษฎร ผู้ประสบอุทกภัย โดยรับออกมาจากพื้นที่อันตรายมาส่งในพื้นที่ปลอดภัย รวมทั้งพระราชทานความช่วยเหลือด้านปัจจัยต่างๆ ทั้งอาหาร น้ำดื่ม โดยต้องอาศัยสรรพกำลังจากกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และกระทรวงมหาดไทย ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลประชาชนให้ได้รับความปลอดภัยและได้รับความช่วยเหลือ และการเคลื่อนย้ายต่างๆ ให้ดำเนินการโดยเร็วที่สุด เป็นพระราชกระแสที่ทรงมีความห่วงใย ทั้งหน่วยงานราชการและประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งได้ชื่นชมจิตอาสาทั่วประเทศที่ระดมสรรพกําลัง ไม่ใช่แค่กรณีอุทกภัยในภาคใต้เพียงอย่างเดียว แต่ที่ผ่านมาทั้งหมดได้รับความร่วมมือร่วมใจจากจิตอาสาทุกฝ่ายในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยรวดเร็ว

นายกรัฐมนตรีกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ น้อมเกล้าฯ รับพระราชกระแส ทั้งนี้ รัฐบาลได้ระดมสรรพกำลังทั้งหมดลงพื้นที่ เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนในพื้นที่ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่จังหวัดสงขลาเพียงแห่งเดียว แต่เกิดขึ้นหลายจังหวัดในภาคใต้ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดที่ประสบภัยได้ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อให้เกิดการบูรณาการช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ในพื้นที่ สำหรับความปลอดภัยของประชาชน เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนอันดับแรก ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือผู้ป่วย กลุ่มเปราะบาง ผู้ตกค้างที่ต้องการออกจากพื้นที่ ให้อพยพออกมายังโรงพยาบาลหรือศูนย์อพยพในพื้นที่ปลอดภัย รวมทั้งการจัดส่งอาหาร เชื้อเพลิง และการสื่อสาร ขณะนี้ทุกเหล่าทัพ ได้ระดมอากาศยาน เฮลิคอปเตอร์ เรือ เจ็ตสกี เข้าพื้นที่ เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยแล้ว

ขณะที่ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาพร้อมระบุว่า การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนคือโรงพยาบาลหลายแห่งไฟฟ้าดับ ผู้ป่วยฉุกเฉินและผู้ต้องใช้ออกซิเจนได้รับผลกระทบ จึงระดมทีมแก้ระบบไฟและการลำเลียงผู้ป่วยร่วมกับกองทัพทุกเหล่าทัพ อีกทั้ง ปภ. และกระทรวงเกษตรฯ ได้ตั้งศูนย์อพยพและศูนย์บัญชาการเพิ่มที่โรงแรมซิกเนเจอร์ ส่วนการนำอาหารและสิ่งของช่วยเหลือ มอบหมายให้แม่ทัพภาคที่ 4 ดูแลการกระจายเสบียง ขณะนี้ยืนยันว่าอาหารมีเพียงพอ แต่ต้องเร่งอพยพประชาชนออกจากจุดเสี่ยงโดยเร็ว พร้อมสั่งการให้เร่งระบายน้ำออกจากทะเลสาบสงขลาลงสู่อ่าวไทยให้เร็วที่สุด และมอบหมายให้ แม่ทัพภาคที่ 4 ควบคุมปฏิบัติการช่วยเหลือทั้งหมด สำหรับประชาชนที่ยังต้องเฝ้าทรัพย์สินหรือพักในอาคารสูง ย้ำว่าจุดที่ประชาชนเดือดร้อนทั้งหมดได้สำรวจครบแล้ว
แม้เฮลิคอปเตอร์ไม่สามารถลำเลียงสิ่งของลงไปได้ แต่ข้อมูลชัดเจนเพียงพอสำหรับการจัดกำลังเข้าพื้นที่ทันที

นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดสงขลา นายกรัฐมนตรี จึงได้ยกระดับการจัดการสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) โดยกำหนดให้พื้นที่จังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่เกิดสาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง (ระดับ 4) ตามมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 และแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 โดยจัดตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บกปภ.ช.) ขึ้น ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นศูนย์กลางในการอำนวยการ และรับผิดชอบ บังคับบัญชา อำนวยการ วินิจฉัย สั่งการ ควบคุม และประสานความร่วมมือในพื้นที่ประสบภัย ซึ่งจะประกอบกำลังร่วมกับหน่วยงานตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 เข้าสนับสนุนการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน (สปฉ.) อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในด้านต่างๆ เกิดประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาอุทกภัยในจังหวัดสงขลาสามารถยุติได้อย่างรวดเร็ว และประชาชนชาวจังหวัดสงขลาจะได้กลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็ว

นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางได้อนุมัติขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด 9 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล เพิ่มเติมจังหวัดละ 50 ล้านบาท เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าและสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ครอบคลุมและทั่วถึงในทุกมิติ พร้อมกันนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้กำชับไปยังจังหวัดให้ใช้จ่ายงบประมาณโดยยึดตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ โดยมุ่งบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสำคัญ

ด้านพลโท นรธิป โพยนอก แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เรียกประชุมทันทีหลังได้รับข้อสั่งการจากนายกรัฐมนตรี โดยในการประชุมหน่วยงานต่างๆ รายงานสถานการณ์โดยนายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา รายงานว่า ประชาชนบางส่วนที่ไม่ยอมอพยพเนื่องจากกังวลทรัพย์สิน ทำให้ต้องลำเลียงอาหารและของใช้จำเป็นเข้าไปในพื้นที่ โดยเหล่ากาชาดได้สนับสนุนอาหารกว่า 10,000 กล่อง แต่มีความล่าช้าเพราะเส้นทางถูกตัดขาด ขณะเดียวกัน การอพยพด้วยเจ็ตสกี มีข้อจำกัด จึงมีการจัดลำดับความเร่งด่วนของผู้ประสบภัยเป็นกลุ่มสีแดง เหลือง และเขียว พลเรือตรี ชยากร พันธ์หล้า เสนาธิการทัพเรือภาคที่ 2 รายงานว่า ทัพเรือภาคที่ 2 ได้จัดเตรียมเรือหลวงจักรีนฤเบศรเพื่อเข้าสนับสนุนภารกิจในพื้นที่เข้าถึงยาก พร้อมเรือยางจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ 13 ลำ และกำลังพล 65 นาย นายแพทย์ปพน ดีไชยเศรษฐ สาธารณสุขจังหวัดสงขลา รายงานว่า มีเฮลิคอปเตอร์ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยเพียง 4 ลำ และยังขาดแคลนอุปกรณ์ช่วยชีวิตและออกซิเจน จึงเร่งประสานโรงพยาบาลทุกแห่ง ซึ่งขณะนี้ได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลบางกล่ำ พร้อมเตรียมตั้งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และศูนย์บัญชาการที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยจะขอสนับสนุนรถ 6 คัน และเรือ 4 ลำ สำหรับดูแลผู้ประสบภัย

นอกจากนี้ยังมีการเปิดศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย โดยนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัยขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล โดยตนเองเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เป็นเลขานุการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ และพลโท วันชนะ สวัสดี เป็นโฆษกประจำศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางบูรณาการข้อมูลทั้งหมด ทั้งการรับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในพื้นที่ประสบภัย โดยได้กำหนดหมายเลขประสานงานคือ 1784 และหมายเลข 1111 รวมถึงช่องทางเพจข่าวสารต่าง ๆ ของภาครัฐ ข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมและคัดกรองที่ศูนย์ปฏิบัติการฯ แห่งนี้ โดยจะประสานงานกับศูนย์ส่วนหน้าสงขลา ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บัญชาการ โดยจะบริหารสถานการณ์จริงในพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ ขณะนี้ หน่วยงานภาครัฐได้ลงพื้นที่ในจังหวัดสงขลาครบถ้วนแล้ว ด้านการบริหารพื้นที่ ผู้บัญชาการส่วนหน้าจะจัดแบ่งเคสตามหมู่บ้านหรือตำบล และประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงฝ่ายปกครอง เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อรวบรวมและตรวจสอบความต้องการของแต่ละจุด จากนั้นจะเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้เรือ รถ หรือเฮลิคอปเตอร์
เพื่อเข้าถึงประชาชนในพื้นที่ที่แตกต่างกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง