นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา ครั้งที่ 3 ในรอบสัปดาห์ ติดตามสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วม พร้อมขนเจ็ตสกี ทีมช่วยเหลือ เครื่องอุปโภคบริโภคไปกับเครื่องบิน C-130 เมื่อเดินทางถึง นายกรัฐมนตรีได้ประชุมติดตามเพื่อบัญชาการสถานการณ์อุทกภัย พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานโรงครัวพระราชทานและครัวสนาม และให้กำลังใจผู้ประสบภัย
ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราว และสำรวจสถานการณ์น้ำในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่
ขณะที่อยู่ในพื้นที่นายกรัฐมนตรีได้ประชุมทางไกล (VDO conference) กับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) และกำชับว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยน้ำท่วมแล้ว ขอให้ทุกคนได้ให้การสนับสนุนภารกิจงานอย่างเต็มกำลัง ทั้งเรื่องงบประมาณและการสั่งการต่าง ๆ อำนาจการสั่งการต่าง ๆ มาที่ศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ ทั้งหมด จะได้ไม่ต้องมีความกังวลในการใช้อำนาจหน้าที่ จะมีทั้งกฎหมายคอยคุ้มครองในการใช้ดุลพินิจตัดสินใจ ขอให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ให้คำยืนยันได้เลยว่าทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีอยู่แล้วในฐานะผู้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินผู้ที่รับผิดชอบภายใต้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
สำหรับกำหนดการของนายกรัฐมนตรีที่มีการโพสต์ ปรากฏตามหน้าสื่อต่าง ๆ นั้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง นายกรัฐมนตรี ตั้งใจและต้องการลงไปดูสภาพข้อเท็จจริงของสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ด้วยตนเอง เพื่อจะสั่งการให้ระดมความช่วยเหลือตรงกับความจำเป็นเร่งด่วนในพื้นที่และตรงกับความต้องการของผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ในการประชุม ศป.กฉ. นายแพทย์ปพน ดีไชยเศรษฐ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา ได้ชี้แจงประเด็นข่าวปลอม กรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับยอดผู้เสียชีวิตของโรงพยาบาลหาดใหญ่ ว่า ขณะนี้มีผู้ที่เสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บที่โรงพยาบาล 14 ราย และได้สั่งการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และโรงพยาบาลหลักใกล้เคียง เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย และกำลังเร่งดำเนินการลำเลียงออกซิเจนให้แก่ผู้ป่วยซึ่งขณะนี้ยังเพียงพอต่อผู้ป่วยที่ต้องใช้
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งนายกรัฐมนตรี เรื่อง มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีรับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู ผู้ประสบอุทกภัย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม จึงมอบหมายรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รับผิดชอบกำกับดูแลในพื้นที่ ดังนี้
1. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และปัตตานี
2. นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดยะลา
3. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟู ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดสงขลา
4. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
5. นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟู
ผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดตรัง
6. นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดพัทลุง
7. นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบการช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดสตูล
8. นายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส
นอกจากนี้ ยังมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับผิดชอบการกำหนดมาตรการด้านการเงินการคลัง เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
2. นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการประสานงานภาคเอกชน และภาคประชาชนในการเข้าปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ โดยรัฐสนับสนุนค่าใช้จ่าย
3. นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบการจัดตั้ง และปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสื่อสารมวลชนและการรับข้อมูลจากประชาชน
4. นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบการจัดระบบสาธารณสุขในการดูแลประชาชน
5. พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบการประสานงานฝ่ายความมั่นคงในการเข้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ
6. พลโท อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รับผิดชอบการจัดตั้งและปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานรับ-ส่งต่อความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568
ขณะที่นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์ ศป.กฉ. และพลโท วันชนะ สวัสดี โฆษก ศป.กฉ. ส่วนหน้า ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุม ศป.กฉ. โดยนายสิริพงศ์ กล่าวถึงการแบ่งพื้นที่ในการลงไปช่วยเหลือที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ว่า ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 4 เขตพื้นที่ ได้แก่ เขตที่ 1 รับผิดชอบโดยกองบัญชาการกองทัพไทย เขตที่ 2 รับผิดชอบโดยกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 5 เขตที่ 3 รับผิดชอบโดยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 5 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 และเขตที่ 4 รับผิดชอบโดยกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 42 จากโครงสร้างดังกล่าว จะเห็นว่าทั้ง 4 เขต มีการรับผิดชอบโดยกองบัญชาการกองทัพไทย 1 เขต และกองทัพบก 3 เขต โดยกองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จะเข้ามาช่วยส่วนรวม คือ การเสริมกำลังในจุดที่มีความจำเป็นเป็นพิเศษหรือเป็นภารกิจเฉพาะกิจตามที่ได้รับการร้องขอ
ส่วนกำลังพลในการลงไปช่วยเหลือในครั้งนี้ ทั้งหมด 3,091 นาย โดยมีรถสัมภาระ 180 คัน เรือ 85 ลำ อากาศยานปีกหมุน 12 ลำ อุปกรณ์ชุดเพิ่มเติมประกอบด้วย ชุดแพทย์เคลื่อนที่จำนวน 3 ชุด ชุดสื่อสารดาวเทียม 2 ชุด รถครัวสนาม 2 คัน รถประปาสนาม 3 คัน เครื่องสูบน้ำ 3 เครื่อง เครื่องตรวจชีพจร 1 เครื่อง อากาศยาน C-130 5 ลำ และเรือหลวงจักรีนฤเบศร ในส่วนของพลเรือน/ภาคเอกชนที่เข้ามาช่วยมีจำนวน 4,444 นาย รถยกสูง 24 คัน เรือทั้งหมด 107 ลำ เจ็ตสกี 81 ลำ ปัจจุบันอยู่ในช่วงการรวบรวมเคสจากส่วนกลางไปยังส่วนหน้า โดยจะสรุปยอดให้ทราบอีกครั้ง
นอกจากนี้ ในพื้นที่มีศูนย์อพยพทั้งหมด 9 ศูนย์ ได้แก่ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำนักงานเทศบาลเมืองบ้านพรุ วัดเทพชุมนุม โรงเรียนเทศบาลเมืองบ้านพรุ วัดชินวงศ์ประดิษฐ์ วัดภูผาเบิก บริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) ศูนย์บริการ และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ 3 ซึ่งในส่วนของวัดภูผาเบิกและบริษัท หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) สามารถรองรับผู้ประสบภัยได้แบบไม่จำกัดจำนวน โดยศูนย์อพยพที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รองรับได้ 3,000 คน แต่ปัจจุบันมีผู้พักพิงถึง 5,000 คน ศูนย์เทศบาลเมืองบ้านพรุ รองรับได้ 100 คน แต่ปัจจุบันมี 600 คน วัดเทพชุมนุม รองรับได้ 600 คน ปัจจุบันมี 1,500 คน ส่วนศูนย์อื่น ๆ เช่น วัดชินวงศ์ประดิษฐ์ ยังสามารถรองรับประชาชนเพิ่มเติมได้ หลังจากรวบรวมการขอความช่วยเหลือจากช่องทางต่าง ๆ เช่น Traffy Fondue หรือ HatYaiFlood รวมถึงจิตอาสา พบว่ามีกรณีที่ขอความช่วยเหลือทั้งหมดประมาณ 40,000 เรื่อง คิดเป็นจำนวนประชาชนประมาณ 77,000 คน แบ่งเป็นผู้สูงอายุประมาณ 2,000 คน เด็กเล็กประมาณ 1,000 คน ทั้งนี้ ข้อมูลยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ เนื่องจากการลงทะเบียนมีลักษณะข้อมูลชื่อ-นามสกุล ที่แตกต่างกัน โดยทีมงานจะใส่อัลกอริทึม (ชุดคำสั่ง) เพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์น้ำแบ่งออกเป็น 3 จุดสำคัญ ได้แก่ 1. คลองอู่ตะเภา อำเภอสะเดา ระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง 0.33 เมตร มีแนวโน้มลดลง 2. คลองอู่ตะเภา อำเภอหาดใหญ่ ระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง 0.99 เมตร มีแนวโน้มลดลง และ 3. คลองหวะ อำเภอหาดใหญ่ ระดับน้ำสูงกว่าตลิ่ง 1.43 เมตร มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้ ข้อมูลทั้งหมดมาจากการคาดการณ์ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) โดยพิจารณาปริมาณน้ำและอัตราการระบายน้ำในระบบ
จากการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี ยังได้สั่งการให้นำกำลังพลของกองอาสารักษาดินแดน (อส.) เข้าสมทบเพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป นอกจากนั้น กองทัพอากาศจะจัดเครื่องบิน C-130 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยในวันที่ 27 พฤศจิกายน เครื่องบิน C-130 จะออกเดินทาง 3 เที่ยว ได้แก่ 08.00 น. 09.00 น. และ 14.00 น. ทั้งนี้รัฐบาลเร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่วันแรก โดยข้อมูลที่จัดเก็บและประมวลผล จะช่วยให้ส่วนหน้าทำงานได้ตรงจุดยิ่งขึ้น ไม่ต้องใช้เวลาค้นหาแบบเดิม เนื่องจากมีเทคโนโลยีช่วยระบุตำแหน่งและความต้องการที่ชัดเจน เช่น การใช้โดรนส่งอาหาร รวมถึงเอกชน อย่าง Starlink ที่ติดต่อเข้ามาช่วยสนับสนุนเพิ่มเติม ซึ่งรัฐบาลมองว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนในการช่วยเหลือประชาชน จึงพยายามนำเทคโนโลยีใหม่มาเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
ด้านนายภราดร ย้ำว่า ในช่วงเวลานี้หน้าที่หลักของรัฐบาลและศูนย์ทุกส่วน คือการช่วยเหลือประชาชน ส่วนความผิดพลาดหรือบทเรียนต่าง ๆ จะนำมาศึกษาอย่างละเอียดหลังเหตุการณ์สิ้นสุด เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ทุกฝ่าย ทั้งประชาชน รัฐบาล และผู้ปฏิบัติหน้าที่ จะได้รับบทเรียนร่วมกัน และนำไปสู่การปรับปรุงระบบให้ดียิ่งขึ้นต่อไป








