อย่างแรกคือ ตัวเมืองหาดใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เป็น “แอ่งกระทะ” ตามธรรมชาติ รับน้ำจากภูเขาที่ล้อมรอบถึง 3 ด้าน (เขาคอหงส์ทิศตะวันออก, เทือกเขาบรรทัดทิศตะวันตก, เทือกเขาสันกาลาคีรีทิศใต้)ไหลลงมารวมกันที่จุดต่ำสุด ก็คือใจกลางเมืองหาดใหญ่ นอกจากนั้นยังต้องรองรับฝนและมวลน้ำก้อนใหญ่ที่ไหลบ่ามาจากอำเภอข้างเคียงด้วย
อย่างที่สองคือ เส้นทางระบายน้ำ ซึ่งสายหลักของเมืองก็คือ “คลองอู่ตะเภา” แต่ปัญหาคือมีความตีบตัน เพราะเมืองขยายตัวเข้ามาตึกรามบ้านช่องก็มาเบียดคลองทำให้กลายเป็นคอขวดและตื้นเขินอีก บวกกับคลองอู่ตะเภาตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ซึ่งช่วงนี้ได้รับผลกระทบจากมรสุมพายุจรพัดผ่าน ทำให้ฝนตกและจะมีปริมาณน้ำฝน
หนักถึงหนักมากในช่วงเดือนพฤศจิกายน
อีกปัจจัยที่ส่งผลให้สถานการณ์หนักขึ้นคือ “Rain Bomb” ไม่ใช่แค่ ฝนตกหนักธรรมดา แต่คือปริมาณฝนที่เทลงมามหาศาล ในเวลาสั้น ๆ ทำให้อากาศมีความชื้นสูงขึ้นและมีมวลน้ำสะสมอยู่ในก้อนเมฆมากกว่าปกติ เมื่อมวลน้ำมหาศาลนี้ถูกปล่อยออกมา จึงรุนแรงกว่าการตกของฝนตามฤดูกาลที่เราคุ้นเคย
เมื่อครั้งอดีตเคยเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ก็มีโครงการ “คลองระบายน้ำ ร.1” ถูกพัฒนาขึ้นตามพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เปรียบเสมือนทางด่วนของน้ำ นำน้ำไหลอ้อมรอบนอกเมืองไปลงทะเลสาบสงขลา ไม่เข้ามาผ่านในเมือง แต่ที่ยังเห็นข่าวหาดใหญ่น้ำท่วมอยู่ เพราะทางระบายน้ำนี้ เน้นจัดการกับน้ำจากข้างนอกเมือง แต่ไม่สามารถห้ามฝนที่ตกลงมาข้างในตัวเมืองได้








