นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้คือการฟื้นฟูโรงพยาบาลต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบให้กลับมาให้บริการผู้ป่วยได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด โดยในส่วนของโรงพยาบาลหาดใหญ่ ทีมช่างจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้เข้าช่วยฟื้นฟู ขณะนี้ระบบไฟฟ้า น้ำประปา และก๊าซทางการแพทย์ ใช้งานได้ปกติ สามารถให้บริการผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยฉุกเฉิน (พื้นที่ชั่วคราว) และการแพทย์ทางไกลได้ และมีแผนฟื้นฟูให้กลับมาบริการเต็มศักยภาพภายใน 1 เดือน โดยสัปดาห์แรกจะเปิดบริการห้องฉุกเฉิน แผนกผู้ป่วยนอก และห้องปฏิบัติการบางส่วน สัปดาห์ที่ 1-2 ขยายแผนกผู้ป่วยใน ผู้ป่วยวิกฤติ ห้องผ่าตัด คลินิกพิเศษเฉพาะทางนอกเวลาราชการ และเพิ่มแผนกผู้ป่วยนอกเฉพาะทาง และสัปดาห์ที่ 3-4 ให้บริการเต็มระบบ ขณะที่ รพ.สต.ภายใต้สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในอำเภอหาดใหญ่ ที่ได้รับผลกระทบ 16 แห่ง เหลือปิดบริการ 1 แห่ง ที่ รพ.สต.คลองแห
ระหว่างทำการฟื้นฟูโรงพยาบาลใหญ่ ได้เปิดโรงพยาบาลสนามเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสนาม ศูนย์บริการสาธารณสุข เทศบาลเมืองคลองแห รับผิดชอบโดย โรงพยาบาลบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เริ่มให้บริการวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 และโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลค่ายเสนาณรงค์ รับผิดชอบโดย โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จะเปิดให้บริการวันที่ 1 ธันวาคม 2568 รวมทั้งยังมีหน่วยบริการที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ โดยโรงพยาบาลหาดใหญ่ จะเปิดบริการผู้ป่วยนอก ทั้งผู้ป่วยเรื้อรังที่จะรับยาต่อเนื่อง ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ผู้ป่วยจิตเวช ผู้ป่วยวัณโรค และผู้ป่วยทั่วไป ในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 สำหรับโรงพยาบาลสนามที่เปิดก่อนหน้านี้ 8 แห่ง ได้ให้บริการผู้ป่วยใน รวม 160 ราย ผู้ป่วยนอก รวม 1,038 ราย ส่งต่อ 116 ราย และบริการผู้ป่วยฟอกไต 46 ราย หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ (Mini-MERT) 86 ทีม ให้บริการสะสม 5,494 ราย และทีมแพทย์เดินเท้า 66 ทีม ให้บริการสะสม 4,072 ราย ส่วนการดูแลด้านสุขภาพจิต ให้บริการประเมินสุขภาพจิตสะสม 2,430 ราย พบเครียดสูง 140 ราย เสี่ยงฆ่าตัวตาย 1 ราย โดยทุกรายได้รับการดูแลและส่งต่อเข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว นอกจากนี้ ยังได้เตรียมทีม MCATT ร่วมเดินเท้ากับทีม Mini-MERT และเปิดคลินิกสุขภาพใจ ที่โรงพยาบาลสนามด้วย
สำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายสิทธิบัตรทองที่ต้องฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) หรือทำการล้างไตทางช่องท้อง (PD) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมให้บริการผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง บูรณาการความร่วมมือของโรงพยาบาล สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย และบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด จัดส่งน้ำยาล้างไตให้ผู้ป่วย โดยผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง (PD) ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เช่น บ้านน้ำท่วมจนอยู่อาศัยไม่ได้ ต้องย้ายไปอยู่ศูนย์อพยพหรือบ้านญาติ โดยที่น้ำยาล้างไตถูกน้ำท่วมเสียหาย หรือไม่สามารถเก็บรักษาได้ตามมาตรฐาน บริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด สามารถจัดส่งน้ำยาล้างไตไปให้ยังที่พักใหม่ของผู้ป่วยได้ โดยขอให้ผู้ป่วยหรือญาติดำเนินโทรแจ้งที่อยู่ใหม่กับ สปสช. สายด่วน 1330 (โทรฟรี 24 ชั่วโมง)
นอกจากนี้ สปสช. ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่สายด่วน 1330 โทรและส่ง SMS แจ้งผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย
ในพื้นที่น้ำท่วม เพื่อสอบถามผลกระทบและให้ความช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด สำหรับผู้ป่วยที่ยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้ และไปรษณีย์สามารถเข้าพื้นที่ทางเรือหรือช่องทางอื่นได้ จะได้รับน้ำยาล้างไตส่งถึงบ้านตามปกติ ขณะนี้ได้เริ่มโทรประสานและส่ง SMS ผู้ป่วยไต โดยเริ่มจากพื้นที่ จ.สงขลา แล้ว จำนวน 284 ราย
ผู้ป่วยฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) ที่โรงพยาบาลประจำ หากถูกน้ำท่วมหรือไม่สามารถเดินทางไปฟอกไตได้ ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) ของกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ปลอดภัย เช่น บริเวณสนามบิน และรถฟอกไตเคลื่อนที่ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะจัดเตรียมไว้ เพื่อให้บริการผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม
ในพื้นที่ภาคใต้ สำหรับผู้ป่วยที่ไปฟอกไตตามนัดไม่ได้ ไม่ควรงดการฟอกไตเอง ขอให้รีบติดต่อหน่วยไตหรือโรงพยาบาล
ที่ท่านรักษาอยู่ หรือโทรสายด่วน 1330 เพื่อให้ สปสช. ช่วยประสานส่งต่อไปโรงพยาบาลที่ยังให้บริการได้ หรือไปยังหน่วยฟอกไตสำรองและรถฟอกไตเคลื่อนที่ที่จัดเตรียมไว้
โดยเน้นย้ำว่า ผู้ป่วยไตสิทธิบัตรทองไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายจากการเปลี่ยนหน่วยฟอกไต การฟอกไตที่หน่วยสำรอง หรือการจัดส่งน้ำยาล้างไตไปยังที่พักใหม่ รัฐบาล โดย สปสช.จะดูแลสิทธิประโยชน์และการเบิกจ่ายให้ตามหลักเกณฑ์กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) เร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ในพื้นที่ภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยออกมาตรการ “พักหนี้–ดีพร้อม
ช่วยฟื้น” เพื่อบรรเทาภาระการเงินและเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการกลับมายืนได้อีกครั้ง ประกอบด้วยมาตรการ
• พักชำระหนี้ต้น–ดอก สูงสุด 4 เดือน สำหรับลูกหนี้เดิม
• ปรับลดค่างวด – ขยายระยะเวลาชำระหนี้ให้นานขึ้น (ไม่เกิน 2 ปี)
• ลูกหนี้รายใหม่ขอสินเชื่อ “เงินง่าย ฟื้นได้ ช่วยภัยพิบัติ” วงเงินรายละไม่เกิน 5 แสนบาท ดอกเบี้ย 0%
นาน 6 เดือนแรก
• พักชำระหนี้ดอกเบี้ยอีก 3 เดือน สำหรับรายที่ต้องการบรรเทาเร่งด่วน
• กรณีลูกหนี้เดิมที่ได้รับผลกระทบหนัก สามารถขอ รีไฟแนนซ์ (Refinance) ลดภาระดอกเบี้ยได้
และยังสั่งการให้ DIPROM ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อฟื้นฟูกิจการที่ได้รับความเสียหาย ช่วยปรับปรุง ซ่อมแซม สร้างสภาพคล่อง ให้โอกาสผู้ประกอบการกลับมาดำเนินธุรกิจต่อโดยเร็ว
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สั่งการกรมการขนส่งทางบกบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องยานพาหนะซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนเป็นวงกว้าง กรมการขนส่งทางบก จึงได้จัดตั้ง ศูนย์ประสานงาน “คมนาคมร่วมใจช่วยรถน้ำท่วม” ขึ้น ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา แห่งที่ 1 (อ.เมืองสงขลา) โดยจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ศูนย์ฯ แห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางรวบรวมและกระจายข่าวสาร รวมถึงประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน พร้อมให้คำปรึกษา แนะนำความปลอดภัย และให้บริการซ่อมแซมรถเบื้องต้นซึ่งได้รับความร่วมมือจาก สำนักคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และค่ายรถยนต์ชั้นนำ อาทิ TOYOTA, ISUZU, MITSUBISHI, HONDA, Mercedes Benz, BMW, MAZDA, NISSAN, DEEPAL, SUZUKI, BYD, MG, GWM, YAMAHA รวมถึงพันธมิตรภาคเอกชนอย่าง AUTOBACS และผู้ให้บริการแอปพลิเคชันช่าง (FIXZY, BeNeat, 24FIX, Q-Chang)
สำหรับการให้บริการประชาชน ณ ศูนย์ประสานงาน “คมนาคมร่วมใจช่วยรถน้ำท่วม” ประกอบด้วย
– หน่วยงานกลางประสานงานและบริการข้อมูล: รวบรวมและกระจายข่าวสาร ประสานงานภาคีเครือข่าย
ให้คำแนะนำด้านความปลอดภัย และแจ้งข้อมูลศูนย์บริการรถ
– ตรวจประเมินและซ่อมแซมเบื้องต้น: ให้บริการตรวจประเมินสภาพรถ ให้คำปรึกษา และซ่อมแซมเบื้องต้นโดยมีช่างเทคนิคและทีมบริการจากภาคีเครือข่ายร่วมสนับสนุน
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพอ กรมการขนส่งทางบกได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับรองรับรถยนต์ของผู้ประสบภัยให้นำมาจอดพักได้ฟรี ระหว่างรอการดำเนินการ ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา แห่งที่ 1 (อ.เมืองสงขลา) รองรับรถยนต์ได้จำนวน 50 คัน และสำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา แห่งที่ 2 (อ.หาดใหญ่) รองรับรถยนต์ได้จำนวน 20 คัน สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ประสานงานฯ สายด่วน 1584 หรือ โทร 074 330 251-2 หรือที่ Facebook สำนักงานขนส่งจังหวัดสงขลา
จัดรถรับ-ส่งประชาชน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ฟรี จำนวน 4 เส้นทาง (รถตู้ รถบัสปรับอากาศ)
– ศูนย์พักพิงฯ ม.อ. – สนามบินหาดใหญ่
– ศูนย์พักพิงฯ ม.อ. – สถานีขนส่งฯ (สงขลา)
– ศูนย์พักพิงฯ ม.อ. – สถานีขนส่งฯ (คลองเรียน)
– ศูนย์พักพิงฯ ม.อ. – สถานีขนส่งฯ (ตลาดเกษตร)
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สั่งการให้สถานศึกษาในสังกัดร่วมลงพื้นที่ช่วยประชาชนอย่างเต็มกำลัง โดยนายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้จัดตั้ง “ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it Center)” เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ซึ่งได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ให้บริการเวลา 08.00-18.00 น. โดยในพื้นที่จังหวัดสงขลา ได้เปิดให้บริการแล้ว 6 ศูนย์ และอยู่ระหว่างเปิดอีก 44 ศูนย์ เพื่อให้ได้ 50 ศูนย์ตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ยังมีการจัดทำระบบรายงานการให้บริการแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นระบบที่ให้แต่ละศูนย์รายงานการให้บริการ ทำให้สามารถตรวจสอบการให้บริการได้แบบทันท่วงที โดยได้ดำเนินการซ่อมแซมทรัพย์สินและอุปกรณ์ต่างๆ ไปแล้วรวม 632 รายการ ประเภทการซ่อมที่มากที่สุดคือ รถจักรยานยนต์ 290 คัน เครื่องใช้ไฟฟ้า 251 ชิ้น เครื่องมือและอุปกรณ์ประกอบอาชีพ 40 ชิ้น และยานยนต์ 2 คัน
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้ระดมกำลังจากสถานศึกษาอาชีวศึกษาทั่วประเทศ มีผู้บริหาร คณะครู บุคลากรอาชีวศึกษา และนักเรียน นักศึกษาอาสาปฏิบัติงานจำนวนกว่า 600 คน โดยศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน Fix it Center กระจายอยู่ในพื้นที่จังหวัดสงขลา ได้แก่ อ.หาดใหญ่ จะนะ นาทวี นาหม่อม เมืองสงขลา สิงหนคร สทิงพระ กระแสสินธุ์ ระโนด และรัตภูมิ โดยมีวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่เป็นหน่วยงานประสานงานหลัก ร่วมกับสถานศึกษาอาชีวศึกษาจากหลายจังหวัด ได้แก่ สำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดต่างๆ วิทยาลัยเทคนิค และวิทยาลัยการอาชีพในพื้นที่ภาคใต้และภาคกลาง ที่เดินทางมาร่วมปฏิบัติภารกิจ นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชนในจังหวัดอื่นๆ
ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้คู่ขนานกันไปด้วย
อีกทั้ง ได้เตรียมประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในการเข้าช่วยเหลือโรงเรียนและสถานศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยด้านการทำความสะอาด เคลียร์พื้นที่ การตรวจสอบระบบไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัย และครุภัณฑ์การศึกษา เช่น คอมพิวเตอร์ สื่อโสตทัศนูปกรณ์ เพื่อให้ผู้ประสบภัยได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและทั่วถึง
กระทรวงแรงงาน ออก 7 มาตรการฟื้นฟูเร่งด่วน เพื่อช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทั้งการจ้างงาน ฟื้นฟูอาชีพ เยียวยานายจ้าง–ลูกจ้าง และการซ่อมแซมอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการ ประกอบด้วย
1. จ้างงานเร่งด่วน วันละ 300 บาท นานไม่เกิน 10 วัน รวม 4,000 คน
2. เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อฟื้นฟูสถานประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ
3. เงินกู้เพื่อใช้ประกอบอาชีพ และปล่อยกู้ให้ลูกจ้างที่ต้องการซ่อมเครื่องมือทำกิน
4. เงินกู้ปรับปรุงความปลอดภัยในงาน สำหรับกิจการที่ได้รับความเสียหาย
5. เงินค่าจ้าง 50% นาน 6 เดือน สำหรับผู้ประสบเหตุตามหลักเกณฑ์
6. เงินค่าทำศพ ผู้ประกันตนมาตรา 33 รายละ 50,000 บาท
7. เปิดศูนย์ซ่อมรถจักรยานยนต์–เครื่องใช้ไฟฟ้า รวม 48 ศูนย์ในพื้นที่ภาคใต้
โดยแบ่งมาตรการดูแลนายจ้างและผู้ประกันตนที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ระยะเร่งด่วน 3 มาตรการ ได้แก่
มาตรการที่ 1 สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย กรณีเกิดภัยพิบัติธรรมชาติผู้ประกันตนไม่สามารถทำงานหรือสถานประกอบการไม่สามารถประกอบกิจการได้ ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน สูงสุดไม่เกิน 180 วัน
มาตการที่ 2 โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับสถานประกอบการ เพื่อรักษาการจ้างงาน ร่วมกับธนาคาร 7 แห่ง กรณีมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก สูงสุดไม่เกิน ร้อยละ 2.35 ต่อปี กรณีไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน สูงสุดไม่เกิน ร้อยละ 4.75 ต่อปี
มาตรการที่ 3 ขยายเวลานำส่งเงินสมทบ โดยขยายกำหนดเวลายื่นแบบการส่งเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ ใน 6 งวดค่าจ้าง ดังนี้
งวดเงินสมทบ พฤศจิกายน 2568 ภายใน 15 มีนาคม 2569
งวดเงินสมทบ ธันวาคม 2568 ภายใน 15 เมษายน 2569
งวดเงินสมทบ มกราคม 2569 ภายใน 15 พฤษภาคม 2569
งวดเงินสมทบ กุมภาพันธ์ 69 ภายใน 15 มิถุนายน 2569
งวดเงินสมทบ มีนาคม 2569 ภายใน 15 กรกฎาคม 2569
งวดเงินสมทบ เมษายน 2569 ภายใน 15 สิงหาคม 2569
ทั้งนี้ สามารถลดค่าใช้จ่ายและบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้าง ลูกจ้างและผู้ประกันตน ในช่วงที่เกิดเหตุภัยพิบัติ ไม่ให้เกิดการชำระเงินสมทบล่าช้าและเกิดเงินเพิ่มและไม่เสียสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ








